“ตำรวจปราบปรามยาเสพติดต้องอยู่หลังฉากตลอดเวลา และทำงานด้วยอุดมการณ์”

ยึดอุดมการณ์มาตั้งแต่สวมเครื่องแบบสีกากีกระทั่งวันเกษียณอายุราชการ

พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ สกุลเดิม “ภู่พานิช” อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ชาวจังหวัดอ่างทอง เกิดในครอบครัวนักธุรกิจโรงเลื่อยและทำเหมืองแร่ เริ่มต้นเข้าโรงเรียนป่าโมกวิทยศึกษา ไปต่อมัธยมโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา มัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และปริญญาตรีที่ฮิลล์ คอลเลจ สหรัฐอเมริกา

เป็นคนเดียวในครอบครัวพี่น้อง 7 คนที่รับราชการหลังจากจบจากอเมริกา สอบเข้าอบรมเป็นรองสารวัตรหน่วยรถวิทยุกองปราบปราม เจ้าตัวบอกว่า ตอนนั้นมาใช้ทุนที่ไปเรียนต่างประเทศกะว่าจะเป็นตำรวจสัก 4-5ปีก็จะออก แต่มาได้ทุนไปอบรมหลักสูตรสอบสวนจากวิทยาลัยการตำรวจเอฟบีไอ สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง กลับมาเป็นสารวัตรศูนย์รวมข่าวรถวิทยุ กองปราบปราม ทำไปทำมาล้มเลิกความตั้งใจที่จะลาออก

ทำหน้าที่เข้าตา พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ ขณะนั้นเป็นผู้บังคับการปราบปรามและติดตามเป็นนายเวรตอน พล.ต.อ.ชุมพล ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายพลตำรวจเอกคนดังเล่าวา เป็นยุคสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันเข้ามาประเทศไทยเยอะ ต้องการตำรวจที่จบจากต่างประเทศค่อยประสานงานเกี่ยวกับเรื่องปราบปรามยาเสพติด เป็นหน้างานของกองกำกับการ 7 กองปราบปรามสมัยก่อน ถึงมีโอกาสไปทำงานร่วมกับหน่วยของอเมริกันนับแต่นั้นจนท่านชุมพลดึงมาอยู่สำนักงาน

มีส่วนร่วมร่างแผนโครงสร้างกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่มี พล.ต.อ.เภา สารสิน เป็นเลขาธิการ ผนึกกำลังจากนครบาล กองปราบปราม สันติบาล ขึ้นเป็นสำนักงานปราบปรามยาเสพติด พล.ต.อ.โกวิทว่า ทั้งนี้เพราะประมาณปี 2533 ต่างประเทศที่มี 17-18 ประเทศเข้ามาทำงานลับในไทยมองว่า การระบาดของยาเสพติดมากขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน การจะเป็นคณะกรรมการร่วมปราบปรามยาเสพติดคงไม่เหมาะ จึงนำกำลังมารวมกันเป็นหน่วยงานระดับสำนักงานและปรับโครงสร้างเป็นกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดในเวลาต่อมา

“หลักการของยาเสพติดนี่ก็คือ แต่ก่อนคนท้องอิ่ม มันก็ไม่ทำ แต่ถ้าท้องไม่อิ่ม มันก็ดิ้นรนหาทางทำจนได้ โดยเฉพาะทางภาคเหนือรอยตะเข็บชายแดน ปลูกฝิ่น มากที่สุด พร้อมกับประเทศเพื่อนบ้านเราเป็นหลัก พวกชาวเขา กับชนกลุ่มน้อยก็จะทำพวกยาเสพติดเยอะเป็นอาชีพหลัก ทำให้กรมตำรวจตั้งสำนักงานปราบปรามยาเสพติด เมื่อปี 2533 เพื่อให้มีกฎหมายรองรับ มีกองบังคับการสอบสวน และปรับเป็นกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดในอีก 2 ปีถัดมา” พล.ต.อ.โกวิทอธิบาย

เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดคนแรกของหน่วย ทำงานตั้งแต่สมัยเป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และเป็นหัวหน้าสำนักงานปราบปรามยาเสพติด เขาบอกว่า การทำงานสมัยก่อน กำลังพลมาจากพวกหน่วยงานจากนครบาล กองปราบปราม ภูธร ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำงานรับผิดชอบภายในประเทศ แบะโยงไปถึงต่างประเทศ ผ่านมา 20 กว่าปีคิดว่า ได้ผลพอสมควร

“จริงๆ แล้ว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดนั้น น่าเห็นใจ เพราะต้องเป็นตำรวจที่มีอุดมการณ์ในใจพอสมควร มันไม่เหมือนตำรวจทั่วๆ ไปที่ไปแสดงตัว พวกนี้ต้องทำงานเงียบๆ เป็นนักสืบ ด้วย แล้วก็ต้องเป็นนักสอบสวน ตำรวจปราบปรามยาเสพติดต้องอยู่หลังฉากตลอดเวลา และทำงานด้วยอุดมการณ์ นอกจากอุดมการณ์แล้ว ก็ยังต้องการกำลังใจ บทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม คือ ตำรวจปราบปรามยาเสพติดอาจเป็นหน่วยพิเศษที่บุคลากรต้องขึ้นตามไลน์ของเขา อย่าเอาคนนอกมายุ่ง ทำให้พวกเขาไม่โต และทำให้ทุกคนจะเสียกำลังใจ แทนที่จะขึ้นได้ก็ไปเอาคนภายนอกมา แม้บางคนมีประสบการณ์ก็มี แต่ส่วนใหญ่ควรจะให้กำลังใจ”อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเปิดมุมมอง

พล.ต.อ.โกวิทยอมรับว่า เปิดหน่วยใหม่ตำแหน่งผู้บัญชาการมีคนจ้องจับจองกันเยอะ พรรคการเมืองก็มีลูกน้องที่ไว้ใจอยากให้มาเป็น ท่านนายกฯชาติชาย ชุณหะวัณ ก็อึดอัดไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะมีคนมาฝากเยอะมาก ท่านเลยบอกว่า เห็นด้วยนะที่ทุกคนก็มีลูกน้อง มีความสามารถ แต่เผอิญ ตำรวจต่างประเทศเจาะจงสเปกมาเลย ต้องเป็นโกวิท “ผมก็เพิ่งรู้ตอนนั้นว่า มีคนตามประวัติผมตั้งแต่อยู่กองปราบสามยอด รู้ว่าผมผ่านหลักสูตรเอฟบีไอ นายกฯชาติชายก็บอกว่า ผมโชคดีนะ ต่างประเทศเขายืนยันว่าจะเอาผม เพราะมันต้องทำงานร่วมกันกับทั่วโลก ต้องใช้คนมีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถส่วนหนึ่ง แล้วก็ความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยเป็นส่วนสำคัญ”

นั่งเก้าอี้คุมหน่วยคนแรกในประวัติศาสตร์กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พล.ต.อ.โกวิทย้อนวันเก่าว่า พอไปดำรงตำแหน่ง เราก็ทำตัวให้ทุกคนเห็นว่า เป็นผู้นำ ทำในสิ่งที่คนใฝ่หา แสวงหา แล้วเราทำได้ เป็นงานสำคัญที่ว่า คนที่ไม่เคยอยู่ในตำแหน่งแล้วบอกว่าทำได้ก็ไม่แน่ ต้องอยู่ในตำแหน่ง จะรู้ว่าทำได้หรือไม่ เพราะเราอยู่ดูงานปราบปรามยาเสพติดมาหลายปี หลังจากเป็นผู้บังคับการสวัสดิการแล้วขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางก็มาทำงานอยู่คณะกรรมการปราบปรามยาเสพติด ทำให้เข้าใจระบบการทำงานทั้งหมด

เมื่อถึงวาระต้องขึ้นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ เขาถูกโยกไปเป็นหัวหน้าตำรวจภาค 5 คุม 8 จังหวัดภาคเหนือตามโครงสร้างใหม่ เจ้าตัวระบายความรู้สึกว่า ไม่เคยอยู่ภูธร ไม่เคยเป็นตำรวจท้องที่ ถามผู้ใหญ่ว่า เอาไปทำไม เขาบอกเหตุผลว่า ต้องการให้ไปวางระบบการปราบปรามยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ ก็ถือเป็นประสบการณ์ ตอนนั้นแค่กลัวว่า จะทำงานให้ได้ไม่เต็มที่ เพราะงานตำรวจภูธรปกติเราไม่ถนัด “วันแรกที่ไป ผมประชุมลูกน้องประกาศเลยว่า เป็นตำรวจทำงานกันมา 20-30 ปี รู้ใจกันแล้ว ผมได้รับมอบหมายพิเศษมาให้ทำงานเรื่องเส้นทางยาเสพติด เป็นอันหนึ่งที่ผมทำได้ แต่อยากบอกที่ประชุมว่าพวกคุณที่เคยจะต้องมาดูแลเจ้านาย เดือนละ 1-2 หมื่น ขอให้เอาไปดูแลลูกเมียคุณ ปรากฏว่า พวกนั้นหัวเราะ ขำกัน บอกว่า พูดอย่างนี้ทุกคน อีก 2-3 เดือนก็มาแล้ว”

“เชื่อไหมว่า ผมอยู่ครบตามวาระ ไม่เคยเอาเงินลูกน้องเลย มีแต่ให้ เขาก็บอกเลยว่า นายนี่ดี จนเดี๋ยวนี้ เวลาผมไปเชียงใหม่ ผมมีบ้านพักที่นั่น บางทีเดือนสองเดือนไป ลูกน้องยังบอกว่าเป็นคนที่พูดแล้วทำได้ เพราะมีปณิธาน ตั้งใจแล้ว ก็เหมือนธรรมะ เราเป็นยังไง เราต้องทำ เราฝึกมาตั้งแต่เป็น ร.ต.ต. หรือ ร.ต.ท. แล้วก็ไม่ได้ไประรานคนอื่น สมัยก่อน กองปราบสามยอดดังจะตายไป จะยังไงก็ได้ แต่เราฝึกหัดไว้ ถ้าทำได้ 1 2 3 มันก็จะทำได้”

ปี 2539 โยกเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ฝ่ายกิจการพิเศษ และเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ ดูแลงานจราจร ปัญหาโลกแตกของคนเมืองหลวงนาน 2 ปี ก็เกษียณอายุราชการ รับงานเป็นประธานองค์กรมวยไทยสภามวยโลก เป็นสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดอ่างทอง นั่งกรรมาธิการการต่างประเทศ กรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน กรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นนายกสมาคมเพื่อนแคลิฟอร์เนีย

ประสบการณ์บนถนนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พล.ต.อ.โกวิท ประทับใจมากสุดที่สามารถสร้างแรงจูงใจเป็นตัวอย่างการปฏิบัติหน้าที่ให้เห็นว่า บางสิ่งบางอยากต้องละเว้นได้ ไม่ต้องไปโฆษณา แต่ทำให้เห็นกับตา ทำได้ หรือไม่ได้ เหมือนไปรับตำแหน่งที่เชียงใหม่  ลูกน้องแอบซุบซิบ หาว่า มาพูดแบบนี้ สไตล์เดียวกันหมด เดี๋ยวไม่นานก็ให้นายเวรมารับซอง ค่าดูแลผู้บังคับบัญชาอะไรแบบนี้ พอเราทำไม่รู้ไม่ชี้ พวกนั้นก็ไม่กล้ามายุ่ง บ่อนที่จะเปิด หรืออะไรก็เดินมาให้เราไม่ได้ เป็นอะไรที่โดยปริยายอยู่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่จำได้ง่ายๆ

ตำนานนายตำรวจมือปราบยานรกฝากแง่คิดด้วยว่า คดียาเสพติดสมัยก่อนจะไม่ค่อยได้เผยแพร่อย่างสมัยนี้ คดีที่ดังก็มีพวก เฮโรอีน กับฝิ่น ยาบ้าก็มี แต่เมื่อก่อนเรียกยาม้า พยายามบอกลูกน้องว่า ต้องตั้งใจทำงาน ต้องอดทน อย่าไปหลงผลประโยชน์ ตอนคุมภาคเหนือพวกชนกลุ่มน้อย ระดัวหัวหน้ามาขอพบ เราก็ไม่รังเกียจ ถือว่าพวกนี้ดูแลชายแดนให้เรา แต่จะบอกพวกเขาว่า เอาอย่างนี้ มาเล่นเกมโปลิศจับขโมยกัน ถ้าอยากทำยาเสพติดก็ทำเลย เพราะเราไม่มีผลประโยชน์อะไรต่อกัน หลุดไปได้ก็เป็นโชคของเขา แต่ถ้าหลุดไม่ได้อย่าว่าเรา

“ผมไม่ได้รับเงินเขา เขาก็ไม่โกรธหากถูกจับ แต่บางคนรับเงินเขาแล้วไปจับอีก มันก็เกิดการทำร้ายกัน ยิงกัน พวกนี้ต้องยุติเลย พวกยาเสพติดบางคนทั้งรับ ทั้งหลอก ทั้งอะไร เป็นเรื่องหักหลังกัน มันไม่ง่ายนะ รู้แก่ใจอยู่แล้ว ตำรวจบางท่านผมมีเบาะแสพัวพันก็จะเรียกมากำชับตักเตือนว่า อันนี้ไม่น่าจะถูกนะ จังหวะที่เราจะขอตรวจงานในพื้นที่คุณ ของจะออกในพื้นที่คุณ ทำไมไม่กวดขัน ผมมั่นใจว่า ตำรวจรุ่นหลังๆ มีความพยายามดี แต่ต้องอดทนกับสิ่งยั่วยุต่างๆ หลายคนมีอุดมการณ์ดีนะ แต่อยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบนั้น จิตใจก็ไปค่อนหนึ่งแล้ว คงต้องอดทน พยายามตั้งใจทำ ” พล.ต.อ.โกวิทว่า

อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจย้ำด้วยว่า สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาต้องทำคือ อย่าให้เขาเสียกำลังใจ ต้องให้เขาก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การจะทำให้เสียกำลังใจ คือ ไปเอาคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายงานมาอยู่ในตำแหน่งแทนเขา เรื่องนี้ผู้บังคับบัญชาต้องไม่ทำ และควรจะหาวิธีการที่จะปกป้องสิ่งที่มาบีบคั้นผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดีต้องมีสิ่งนี้ในการปกป้องลูกน้อง ให้ความเจริญก้าวหน้ากับลูกน้อง ทำให้เขาดีใจ การลดปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาของชาติ คิดว่าทุกคนต้องช่วยกัน สร้างให้ได้ว่า ถ้าคนเราท้องอิ่มอยู่สบาย คงไม่ทำแบบนี้ ทุกคนก็คิดเหมือนกัน เด็กก็คิดเป็น

“อย่างผมยึดหลักว่า ผมทำงาน ผมไม่ยุ่งกับคนอื่นก็คงไม่มีศัตรู ผมคิดว่า ผมมีความตั้งใจทำงาน ทำไปแบบนั้นอาจจะเก่งบ้าง ไม่เก่งบ้าง แต่ผมไม่โลภที่จะไปเอาเงินเอาทอง ผมก็ไม่มีปัญหาทางใจกับคนอื่น จะติดต่อใคร คุยกับใคร ก็สบายๆ” พล.ต.อ.โกวิทอธิบายและเป็นเจตนารมณ์ในการขอพระราชทานนามสกุลใหม่เป็น “ภักดีภูมิ” เพื่อปวารณาตัวเองจะภักดีต่อแผ่นดินเมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

“ผมตั้งใจแล้วจะทำงานให้แผ่นดิน ทำด้วยอุดมการณ์ เหมือนเวลาไปพูดกับตำรวจที่ไหน แล้วผมบอกว่า เป็นตำรวจไม่รับซอง เขาหัวเราะให้ เขามีแต่จะถ่มน้ำลายใส่หน้า เหม็นขี้ฟัน มองว่า ไม่มีหรอก คนที่พูดแบบนี้ แต่สำหรับผม วันที่เกษียณตอนเที่ยงคืน ผมก็จุดธูปบอกกับบรรพบุรุษว่า ผมทำสำเร็จแล้ว”

 โกวิท ภักดีภูมิ !!!

 

RELATED ARTICLES