ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง6 พ.ต.ท.วิศรุต ละเอียดอ่อง รองผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต ร่วมแถลง ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.ปส.4 และ ชุดสืบสวน ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.3 จับกุม Mr.Denis (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน Mr.Ogadinma (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไนจีเรีย Mr.Harison (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติไนจีเรีย โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะรน จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย และ Mr.Solomon (นามสมมติ) อายุ 53 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายโดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดประเภท 1 (ยาไอซ์และยาอี) และยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่าสืบเนื่องจาก ตม.จว.ภูเก็ต กวดขันจับกุมคนต่างด้าวที่มีเจตนาแอบแฝงไม่ได้เข้ามาท่องเที่ยวหรือมาประกอบกิจการอันดี โดยเมื่อต้น เม.ย. ที่ผ่านมา ชุดสืบสวน ตม.จว.ภูเก็ต สืบสวนหาข่าวจากกลุ่มลับของคนต่างด้าวสัญชาติรัสเซีย พบว่า Mr.Denis เสนอว่าปล่อยรถเช่า รับแลกเงินคริปโท ชุดสืบสวนจึงแฝงตัวเข้าไปทักถามเป็นภาษารัสเซีย ทราบว่า Mr.Denis นำเสนอว่ามีโคเคน จำหน่ายราคากรัมละ 4,000 บาท จึงวางแผนพิสูจน์ทราบและจับกุม ต่อมาติดต่อนัดหมายซื้อโคเคนจาก Mr.Denis บริเวณปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน ต.วิชิต อ.เมือง จว.ภูเก็ต โดย ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับชุดสืบสวน บก.ปส.4 และ ชุดสืบสวน ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.3 เข้าตรวจสอบพบ Mr.Denis จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นพบโคเคน น้ำหนัก 0.99 กรัม จึงจับกุมพร้อมยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิชิต ดำเนินคดี
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่าจากการสืบสวนขยายผล ทราบว่า Mr.Denis ซื้อโคเคนมาจากชายต่างชาติผิวสี 2 คน ราคา กรัมละ 3,000 บาท โดยชายผิวสีดังกล่าวจะใช้รถยนต์มาสด้า สีแดง เป็นยานพหานะในการส่งยาเสพติด จึงไให้ Mr.Denis ติดต่อให้มาพบในวันเดียวกัน โดยนัดหมายกันบริเวณลานจอดรถโรงแรมแห่งหนึ่ง ต.กะรน อ.เมือง จว.ภูเก็ต เมื่อรถยนต์คนดังกล่าวขับเข้ามาในที่นัดหมาย ชุดสืบสวนแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้นพบโคเคน ซุกซ่อนอยู่ที่บนพื้นรถยนต์ด้านคนขับ 1 ห่อ น้ำหนัก 1.4 กรัม โดยมี Mr.Harison (นามสมมติ) อายุ 40 ปี และ Mr.Ogadinma (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไนจีเรีย เป็นผู้นำยาเสพติดดังกล่าวมาส่ง จึงจับกุมตัวพร้อมตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะรน ดำเนินคดีตามกฎหมาย
รองผบช.สตม. กล่าวว่าต่อมาชุดสืบสวนพบว่า Mr.Harison และ Mr.Ogadinma ซื้อขายยาเสพติดหลายครั้งโดยขับรถไปรับยาเสพติดจากบังกะโลแห่งหนึ่งใน ต.ฉลอง อ.เมือง จว.ภูเก็ต บ่อยครั้งเมื่อทราบข้อมูลจึงนำหมายค้นศาลจังหวัดภูเก็ตตรวจค้นพบ Mr.Solomon (นามสมมติ) อายุ 53 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย อาศัยอยู่ในบังกะโลหลังดังกล่าว สอบถาม Mr.Solomon รับว่ามีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติดดังกล่าว โดยมียาเสพติดฝังไว้บริเวณหลังบังกะโล และพาชุดสืบสวนไปขุด พบของกลางยาอี 855 เม็ด โคเคนบรรจุในขวดโหล 470 ห่อ ยาไอซ์ บรรจุในเป็นห่อ 127.8 กรัม และสมุดบัญชีธนาคาร 1 เล่ม โดยพบบัญชีธนาคารอีก 1 เล่มที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องอยู่ภายในบ้านพัก จึงจับกุมตัวพร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินอื่น นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้จากการสืบสวนทราบว่าราคาซื้อขายยาเสพติดในจังหวัดภูเก็ตที่ลักลอบจำหน่าย ยาอี ราคา เม็ดละ 1,000 -2,000 บาท โคเคน กรัมละ 4,000 -5,000 บาท รวมราคายาเสพติดของกลางประมาณ 4 ล้านบาท ในส่วนของทรัพย์ที่ตรวจยึดตามมาตรการปราบปรามยาเสพติด ประกอบด้วยรถยนต์และเงินสดอีกประมาณ 9 แสนบาท รวมมูลค่าของกลางประมาณ 4.9 ล้านบาท กรณี Mr.Solomon ถือเป็นตัวการรายใหญ่ในระดับพื้นที่ภูเก็ต โดยมีการรับของมาจากพื้นที่ภาคกลาง และจะกระจายให้กับผู้ค้าและผู้เสพรายย่อย ซึ่งมีหลายสัญชาติในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะสืบสวนและรวมรวมข้อมูลกลุ่มบุคคลดังกล่าว เพื่อสืบสวนจับกุมและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมต่อไป
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่าตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับ สภ.ฉลอง จับกุม Mr.Oleksandr (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดนและรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน สืบเนื่องจาก ตม.จว.ภูเก็ต รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ว่า Ms.Diera (นามสมมติ) อายุ 23 ปี สัญชาติรัสเซีย ผู้เสียหาย แจ้งความว่าเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 เวลา 23.00 น. นัดกับ Mr.Oleksandr (นามสมมติ) ผ่านแอพพลิเคชั่น Telegram ที่วิลล่าแห่งหนี่งใน ต.ฉลอง อ.เมือง จว.ภูเก็ต เพื่อนำเงินสด 25,000 บาท มาแลกกับเงินคริปโทเคอร์เรนซี่ 700 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อผู้เสียหายไปถึงที่นัดหมายพบกับ Mr.Oleksandr ในระหว่างที่พูดคุยกันในช่วงที่คนร้ายอีกคนกำลังเดินเข้ามาที่นัดหมายซึ่งผู้เสียหายไม่ทันระวังตัว Mr.Oleksandr จับผู้เสียหายล็อคเอาถุงคลุมศีรษะ มัดแขน มัดขา และยึดโทรศัพท์ของผู้เสียหาย พร้อมบังคับให้ผู้เสียหายโอนเงินให้กับคนร้ายเพิ่มและตบใบหน้าจนผู้เสียหายยอมบอกรหัสโทรศัพท์ ซึ่งไม่มีเงินในบัญชีออนไลน์แล้ว Mr.Oleksandr จึงบังคับให้ผู้เสียหายติดต่อเพื่อนซึ่งอยู่ห้องพักใกล้กับผู้เสียหายให้นำเงินสดในห้องพักของผู้เสียหายมาให้ โดยมีชายสัญชาติรัสเซีย ร่วมกับ Mr.Oleksandr ทำหน้าที่เป็นผู้ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหายรวมทรัพย์สิน 104,546 บาท หลังจาก Mr.Oleksandr ได้ทรัพย์สินแล้วจึงปล่อยตัวผู้เสียหายจึงแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ให้ดำเนินคดีกับคนร้ายทั้ง 2 คน หลังจากบันทึกข้อมูล Mr.Oleksandr ในบัญชีเฝ้าดูต่อมา ตม.จว.ภูเก็ต รับแจ้งจาก ด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต ว่า Mr.Oleksandr กำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยเพื่อเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จึงร่วมกับชุดสืบสวน สภ.ฉลองจับกุมความผิด ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน โดยผู้เสียหายชี้ยืนยันตัว ส่วนผู้ต้องหาอีกหนึ่งคนซึ่งทำหน้าที่ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหายหลบหนีเดินทางออกจากประเทศไทยไปก่อนแล้ว
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ กก.สส.บก.ตม.4 จับกุม มาดามฟา (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ความผิดฐาน ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กลอุบายหลอกลวง ขู่เข็ญเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี สมคบกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยการบังคับค้าประเวณี โดยร่วมกันเป็นธุระจัดหา พามาจาก จัดให้พักอาศัย โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับหลอกลวงใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายและข่มขืนใจให้ผู้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือยอมหรือจำยอมต่อสิ่งใดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ได้ที่หน้าบ้านพักในพื้นที่ ต.โพธิ์ชัย อ.โคกโพธิ์ชัย จว.ขอนแก่น นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ปาดังเบซาร์ จว.สงขลา ดำเนินคดี สืบเนื่องชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา เข้าช่วยเหลือหญิงไทยเดินทางมาจากประเทศมาเลเซียแจ้งว่าถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซีย จึงซักถามผู้เสียหายการขบวนการขั้นตอนทราบว่าต้องการไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย จึงติดต่อผ่านนายหน้าทางสื่อออนไลน์ แต่เมื่อไปถึงประเทศมาเลเซียกลับถูกแม่เล้าแจ้งว่าต้องพักอาศัยในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในเมืองกัวลาลัมเปอร์ เพื่อค้าประเวณีชดใช้หนี้ค่าเดินทางหรือค่าแทกประมาณ 35,000 บาท ขณะอยู่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และถูกกักขังไม่สามารถออกไปไหนได้โดยลำพังจนกว่าจะใช้หนี้หมด แต่เมื่ออยู่ได้ประมาณ 5 วัน จึงตัดสินใจหลบหนีกลับมาประเทศไทย แล้วขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากแม่เล้าขู่ว่าจะมีคนมาดักรอที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อจับไปขายต่อ ทีมสหวิชาชีพ ลงความเห็นว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนทราบว่า มาดามฟา ทำหน้าที่เป็นแม่เล้า ล่อลวง กักขัง บังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายค้าประเวณี จึงรวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ปาดังเบซาร์ จนกระทั่งศาลจังหวัดนาทวี อนุมัติหมายจับตามข้อกล่าวหาข้างต้น ในชั้นจับกุม มาดามฟาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับว่าขณะอยู่ที่ประเทศมาเลเซียทำหน้าที่เป็นธุระจัดหาหญิงไทยเพื่อค้าประเวณีแต่เป็นไปด้วยความสมัครใจมีเด็กในสังกัดเพียง 5 – 6 คน ติดต่อลูกค้าผ่านแอพพลิเคชั่นวอตส์แอปป์ได้ค่าประสานงาน 10 เปอร์เซ็นต์จากเงินที่เก็บได้จากเด็กในสังกัด