วงการนักสืบสูญเสียปูชนียบุคคลระดับตำนานไปอีกราย
พล.ต.ต.ชูเดช มัชฉิมานนท์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มีประสบการณ์ผ่านคดีสำคัญมากมาย แต่หลายคนในยุคปัจจุบันอาจไม่รู้มีโอกาสได้สัมผัส หรือรู้จักคุ้นเคย
เลือกสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่น 6 โชคไม่ค่อยดี เมื่อพี่ชายต้องลี้ภัยทางการเมืองออกนอกประเทศไปพร้อม พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
ทำให้ตระกูล “มัชฉิมานนท์” ถูกมองเป็นทรราช ประวัติครอบครัวไม่ค่อยดี
ลงบรรจุเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี อยู่ได้ 2ปีย้ายเข้ามาโรงพักดุสิต พญาไท และจักรวรรดิ ก่อนโดนเด้งไปไกลถึงสถานีตำรวจภูธรอำเภอสามเงา จังหวัดตาก เพียง 8 เดือน พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ เห็นฝีมือดึงกลับมาลงพญาไทอีกครั้ง
ประเดิมเป็นรองสารวัตรโรงพักห้วยขวางรุ่นแรก ขึ้นสารวัตรประจำกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือแล้วย้ายเป็นสารวัตรใหญ่โรงพักบางเขน ได้ 2 ปีโยกขึ้น “รองผู้กำกับสืบสวนเหนือ” นาน 4 ปีขั้นเงินเดือนทะลุ จำเป็นต้องไปเป็นผู้กำกับการ 1กองตำรวจรถไฟ และเลื่อนเป็นรองผู้บังคับการตำรวจรถไฟ
กลับถูกดองนานถึง 9 ปีกว่าจะติดยศ “นายพล” ตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจรถไฟ ขึ้นผู้ช่วยผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ยุคที่ พล.ต.ท.ธนู หอมหวล เพื่อนรักร่วมรุ่นนั่งเก้าอี้ “เจ้าพ่อสอบสวนกลาง”แต่พอเปลี่ยนยุคเพื่อน เขาก็ถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2537
เส้นทางชีวิตตำรวจผ่านบู๊ และบุ๋นมามากพอสมควร หลายคดีใหญ่ที่สำคัญ ๆ มักอยู่เบื้องหลังการแกะรอยสืบสวนเสมอ เพราะได้วิชาจากปรมาจารย์นักสืบชั้นเยี่ยมของกรมตำรวจอย่าง พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น
ชอบงานนักสืบตั้งแต่เป็นรองสารวัตร วันไหนออกเวรสอบสวนก็ไปสืบจับคดีในพื้นที่ ได้ทำสำนวนด้วย จับด้วย เพราะสืบสวนกับสอบสวนต้องไปคู่กัน แต่การที่จะเป็นนักสืบได้ต้องเสียสละ พล.ต.ต.ชูเดชเล่าว่า สมัยก่อนตำรวจชั้นประทวนจะขับรถไม่เป็น เราต้องทำหน้าที่ขับรถให้เขานั่ง ใช้รถส่วนตัว ควักกระเป๋าทำงานเอง ถ้าฐานะไม่ดีคงแย่ ทุกคนถึงรักเรา เพราะเราให้ใจเขา เฝ้าจุดนั่งโป่งรอจับผู้ต้องหากับเขาตลอด
“ชีวิตนักสืบของผม มันที่สุดก็ตอนอยู่กองสืบ กับพญาไท วิสามัญฆาตกรรมคนร้ายจริง ๆ ไม่ได้จัดฉาก 7 ราย ช่วยกันทำคดีสำคัญมากมาย”
เจ้าตัวประทับใจเกมการตามล่าแก๊งของ เสือวิเชียร สร้อยจำปา ดาวปล้นร้านทองในพื้นที่ภูธร แต่แอบเข้ามาก่อคดีปล้นร้านทองย่านประตูน้ำแล้วใช้เรือหางยาวหลบหนี คดีนี้ใช้เวลาการสืบสวน แยกกันสืบ ตามเกาะจนเกือบจะติดคุก
พล.ต.อ.มนต์ชัยมีคำสั่งกำชับให้เวลา 7 วันตามล่ามาให้ได้
“คิดดูล่ะกันว่าเครียดมั้ย ผมจะบ้าตาย ไม่ใช่เก่ง ต้องมีดวงประกอบด้วย ไล่ล่ากันทรหด ผมตามลูกสมุนมันที่หนีไปราชบุรีเข้าคลองดำเนินสะดวก โผล่หมู่บ้านสระกระเทียม จังหวัดนครปฐม ตอนนั้น ผมก็เหมือนโจรใส่เสื้อแจ็กเกต สะพายปืนลูกซอง โดดขึ้นรถเมล์ ลงมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ไปเจอที่โรงเรียนอนุบาล เหมือนในหนังเลยเชื่อมั้ย ดวลปืนซัดกันสด ๆ จนมันตายคาที่ เดชะบุญที่กระสุนไม่ถูกใครเลย ส่วนวิเชียร ถูกจับในเวลาต่อมาก่อนหนีระหว่างพาไปศาล ทุกวันนี้หายสาบสูญไปไหนไม่รู้”
อีกคดีที่หลายคนไม่รู้เลยว่า เขาทำ คือ แรมโบ้ คนเดียวถืออาวุธสงครามบุกปล้นธนาคารแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และหัวลำโพง ขณะเขาเป็นรองผู้การตำรวจรถไฟ แต่ความที่ชอบสืบสวน และมีลูกน้องเก่าเป็นสายโทรมา เรียก
“ ป๋า สงสัยทำไมไอ้นี่รวยได้ไง ซื้อปิกอัพขับ ควักกระเป๋าเติมน้ำมันเงินร่วงเป็นปึก อดีตเป็นจ่าทหารเรือ ปล้นแล้วกบดานอยู่ในทำเลดี ใครเข้าออกรู้หมด ตอนนั้นผมพักร้อนพาครอบครัวไปเที่ยวพัทยา สายดันแอบตามไปบอกลักษณะท่าทางผู้ต้องสงสัย ผมเลยให้ภรรยากับหลานสาวเป็นสายสืบจำเป็นแกล้งเข้าไปซื้อหมาหลังอานเพื่อหลอกถามข้อมูล”
ตัดสินใจติดต่อ พล.ต.ต.มนัส ครุฑไชยยันต์ กำลังจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล บอก พล.ต.ต.ธนู หอมหวล เพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นผู้การใต้ ส่ง “ กฤษฎา พันธุ์คงชื่น” ที่ตอนนั้นเป็นสารวัตรไปตั้งด่านตรวจกับชาวบ้านแต่เกิดหลุด
“ผมบอกเอาใหม่ ให้เด็กที่เป็นสายพาออกมา ส่วนตำรวจแอบอยู่หลังตู้ ตั้งด่านจับใหม่ สุดท้ายก็จับได้ วันแถลงข่าว มนัส กับธนู ก็เรียกให้ไปด้วย แต่ผมเปิดตัวไม่ได้ สอบสวนกลางเล่นผมแน่ ที่ผ่านมาผมถึงทำหลายเรื่อง อยู่เบื้องหลังการถ่ายทำมาตลอด แม้จะออกจากกองสืบ ก็ไม่เคยทิ้ง”
แม้กระทั่งภารกิจ “ล่าตี่ใหญ่”เขาเก็บข้อมูลตั้งแต่มันโดนจับที่โรงพักบางซื่อ นำไปสู่การจับตายในเวลาต่อมา มี สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ กิตติโชติ แสงนิล ผจญยุทธ สิงหะ กฤษฎา พันธุ์คงชื่น และอีกหลายช่วยกันทำ
“มีหลายคดียาก ไม่ใช่ง่าย ส่วนใหญ่ต้องเข้าถึงใจลูกน้อง ช่วยกันทำงาน เอาจริง กัดไม่ปล่อย บ้านช่องยังต้องทิ้งเลย มีลูกน้องบางคนอย่าง สิทธิพร โนนจุ้ย มีฝีมือมาก ทำคดีเรียกค่าไถ่หลานนายแพทย์คนหนึ่งกว่าจะจับและช่วยเหลือตัวประกันได้เล่นเอาเหนื่อยไปหลายวัน แต่เมียของสิทธิพร ไม่เข้าใจคิดว่าไม่กลับบ้านเพราะเที่ยว ถึงขนาดเอากระเป๋าเดินทางใส่เสื้อผ้าผัวมาโยนทิ้งอยู่หน้ากองสืบ”
นี่แหละชีวิตนักสืบรุ่นก่อน ครอบครัวต้องเข้าใจ
นายพลนักสืบรุ่นเดอะยังเล่าถึงความขมขื่นในชีวิตราชการว่า เมื่อปี 2532 ตามสืบสวนจับกุมคดีคนร้ายปล้นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปยิงทิ้งจังหวัดชลบุรี ได้รับประกาศเกียรติคุณ แต่ที่ประชุมแต่งตั้งกลับบอกไม่เหมาะสมที่จะได้เป็นผู้การ
“ผมเก็บประกาศเกียรติคุณไว้มากมาย พอเป็นแบบนี้ ผมเลยเอาใบประกาศมาตั้ง เอาปืนยิงเปรี้ยง เปรี้ยง ได้มากี่ใบ ผมยิงทิ้งหมด เวลานี้เหลืออยู่ใบเดียว ท่านอธิบดีเภา สารสินมอบให้ เพราะผมไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร” พล.ต.ต.ชูเดชไม่เคยลืม
ถึงเวลาเลื่อนตำแหน่ง เขาหาว่าไม่เหมาะสม เอาอะไรมาวัด
เขาทิ้งแง่คิดไว้ด้วยว่า ใครทำงานมาก ผิดมาก ทำน้อย ผิดน้อย โอกาสพลาดน้อย แต่พวกนี้กลับได้ดิบได้ดี
มรณกรรมของ พล.ต.ต.ชูเดช มัชฉิมานนท์ คือ อนุสรณ์แห่งตำนานนักสืบอย่างแท้จริง
ติดตามเรื่องราวฉบับเต็มของเขาได้ที่ www.cops-magazine.com/topic/3814/