ว่ากันต่อถึงเรื่องราวชีวิต พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผลดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2
วิชาบริหารงานตำรวจที่ไม่มีสอน ( re-run ) สะท้อนแง่มุมที่เหลือเชื่อ แต่เกิดขึ้นจริง
ตอน3 : ภาระผู้นำ
หัวหน้าหน่วยเด็กๆอย่างเรา มีรายได้เพียงเงินเดือนเพียวๆแถม ไม่เก็บเงินโจร ต้องแก้ปัญหาให้ลูกน้องทั้ง 30 ชีวิต ด้วยการเดินสายหยิบยืมเงิน มาซื้อข้าว ปลา ให้ลูกน้องทำอาหารกินกัน 3 มื้อ
ที่น่าเจ็บปวดกว่านั้น คือ เมื่อดั้นด้น ไปตั้งขอเบิกเบี้ยเลี้ยง ที่ต้นสังกัดที่สุราษฎร์ธานี ผู้การอำนวยการ และ รองผู้บัญชากามีอำนาจอนุมัติในเวลานั้น “กลับปฏิเสธ”
อ้างว่า เมื่อทาง นครศรีธรรมราชสั่ง ก็ให้ไปเบิกที่นครศรีธรรมราช
ทางภาคไม่รับรู้
เวลานั้น รู้สึกเหมือนเป็น “ลูกปิงปอง” ที่ถูกตีไปตีมา หาที่ยุติไม่ได้
“ที่น้อยใจสุด ๆคือ ตอนที่ถูกปฏิเสธ และเดินลงมาที่รถเพื่อเดินทางกลับนครศรีธรรมราช ผมเห็นชุดปฏิบัติการอื่นในระดับเดียวกับหน่วยผม ที่อยู่ประจำที่ตั้งกำลังเล่นสนุกเกอร์บนโต๊ะของกลางที่เพิ่งยึดมาไว้ในหน่วยอย่างสนุกสนาน”
ผมต้องน้ำตารื้นทันที เมื่อทราบว่า ตำรวจพวกนี้ ได้รับเบี้ยเลี้ยงไปราชการถึง 20 วันทุกเดือน ในขณะที่หน่วยเราลำบากลงพื้นที่จริง
ไม่มีเบี้ยเลี้ยงแม้แต่วันเดียว
ตอน4:แบบนี้ก็ได้หรือ
ระหว่างประจำฐาน หน่วยเราถูกเรียกระดมกำลัง ออกแผนลาดตระเวนเข้าไปในเขตเขาร่อนพิบูลย์ที่มีสภาพป่าดิบทึบ อ้างสายข่าวว่า คนร้ายหนีไปซุกซ่อนตรงนั้นตรงนี้บ้าง
สั่งให้เดินป่าแบบนี้บ่อยๆเข้า ก็เริ่มเอะใจจนทราบว่า บริษัทผู้เสียหายมีการจัดงบประมาณสำหรับไล่ล่าคนร้ายให้กับตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่มาของการจัดแผน เพื่อเบิกจ่ายเงินเป็นระยะ เพียงแต่เงินไม่เคยลงมาถึงชุดปฏิบัติการของเราเท่านั้น
ได้รู้จักวิชา “อมเบี้ยเลี้ยง”ก็ตอนนี้นั่นเอง
สิ่งที่กดดันหนักขึ้น บีบให้ผมต้องรีบหาข่าวเพื่อจับคนร้ายให้จบๆไป หวังว่าจบงานเร็ว จะได้เอากำลังพลกลับเข้าเมือง และที่คู่ขนานกันคือ ศึกษาระเบียบเรื่องการเบิกเบี้ยเลี้ยงไปราชการเพื่อเอาไปยันว่า ใครจะต้องจ่ายให้
เนื่องจากมีการ โยนกันไป โยนกันมา ร่วมสามสี่เดือนแล้ว ไม่มีเงินให้กินให้อยู่เลยสักบาท
ผมวิ่งรถไปกลับฐาน กลับสุราษฎร์ธานี นับร้อยๆโล เป็นว่าเล่น เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2-3 หน จนในที่สุดพบว่า ผู้มีอำนาจในการจ่ายเบี้ยเลี้ยงคือ ท่านรองผู้บัญชาการ แล ผู้การอำนวยการภาค ที่ปฏิเสธผมแต่แรกนั่นเอง
เมื่อเอาระเบียบมาเปิดกันต่อหน้า ท่านก็ยอมรับ และให้ทำเรื่องขึ้นมาตามลำดับ
ผมไม่รอช้า รีบรวมรายละเอียดย้อนหลัง เสนอตามขั้นตอน แต่เรื่องไม่ง่ายเหมือนคิด เพราะท่านบ่ายเบี่ยงไปมา จนเวลาล่วงเลยไปหลายสัปดาห์
สุดท้าย ปักหลักตื้อแบบหน้าด้านๆจนท่านรำคาญตะโกนด่า
คำหนึ่งที่จำก้องหูมาถึงตอนนี้คือ
“… ผมไม่มีเวลาเซ็นให้คุณ ผมมีเรื่องระดับชาติที่สำคัญกว่าเรื่องของคุณอีกเยอะต้องทำ”
ยอมรับว่าเวลานั้น น้ำตาลูกผู้ชาย มันเอ่อ ออกมา ด้วยความน้อยใจ และนึกถึงหน้าลูกน้องที่รอความหวังที่ฐานกว่า 30 ชีวิต ด้วยความสงสารจับใจ
นึกตั้งคำถามในใจว่า “สถานการณ์อุ-บาทว์นี้ จะจบอย่างไร “
หลังจากนั้น สัปดาห์หนึ้ง ท่านก็เซ็นให้อย่างจำใจ เพราะผม “เริ่มบ้าเลือด” ไปขู่ว่า จะถอนกำลังมาตั้งฐานที่ภาค 8 ประท้วงหน้าสนามเฮลิคอปเตอร์ให้ดังออกข่าว
รู้เป็นรู้ตายกันไปข้างหนึ่ง
จากกิตติศัพท์เก่าๆของผม เชื่อว่า ท่านเชื่อว่า ผมเอาจริง
เสียดายยุคนั้นไม่มีศาลปกครอง
ขออนุญาตยกยอดไปอีกตอนในวันพรุ่งนี้กันนะครับ