ยืนยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อดีตสารวัตรสอบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ทนพฤติกรรมลุแก่อำนาจของ 7 หัวปิงปองรุมทำร้ายร่างกายลูกชายจนบาดเจ็บสาหัส
มีพยานหลักฐานมัดความ “ตาถั่ว” และไร้ยุทธวิธีการก้าวสกัดจับ กระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวบานปลายใหญ่โต
คำขอโทษคงยากเยียวยาแผลในใจ
เมื่อน้องสาวของ นายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางเขน ระบุพี่ชายถูกตำรวจจราจรทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสระหว่างขับรถออกจากด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ยามค่ำคืนบริเวณถนนประเสริฐมนูกิจ ก่อนถึงอาคารอาร์เอส แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
ด่านตรวจเมาเกือบทุกแห่งที่มักมีปัญหาข้อครหา “ตีตังค์” มากกว่าจับส่งศาลปรับดำเนินคดี
สังเกตได้จากตัวเลขการพบผู้กระทำความผิดเมาแล้วขับทั่วกรุงแต่ละคืนมียอดตรงตามข้อเท็จจริงหรือไม่ “ผู้เป็นนาย” น่าจะวิเคราะห์ออก
แต่ยังปล่อยให้ภารกิจเพลิดเพลินทำร้ายศรัทธาของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน
กรณีของลูกชายอดีตนายตำรวจที่เคยสังกัดจราจรกลางมาด้วย ยิ่งทำให้ภาพพจน์ “องค์กรสีกากีย่อยยับ” ในความถ่อยเถื่อนของคนในเครื่องแบบสวมหมวกหัวปิงปอง
น้องสาวของเหยื่อยังท้าทายให้เปิดกล้องประจำตัวเพื่อพิสูจน์ความจริง
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.สยาม บุญสม รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ช่วยราชการสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร รองผู้บังคับการตำรวจจราจร ตั้งโต๊ะชี้แจงปลาเน่าในด่านตรวจเมา
แบกหน้ารับแรงสะท้อนจาก “เผือกร้อน” ที่เกิดขึ้น
ตำรวจจราจรทั้ง 7 นายจำนนต่อหลักฐาน ประกอบด้วย ร.ต.อ.ทวีพงษ์ อืดทุม ส.ต.อ.วัชรวี ทวีบุรุษ ส.ต.วีระพงศ์ มะณี ส.ต.อ.ปพนธีร์ เลิศอนันต์ ส.ต.อ.กีรติ ประสพโชค ส.ต.ท.ณัฐพงษ์ ดุษฎี ส.ต.อ.จักรินทร์ ใคร่ครวญ
สารภาพร่วมกันใส่กุญแจมือแล้วทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอ้างขัดขืนการควบคุมตัว
มารู้ทีหลังว่าสกัดรถผิดคันถึงกับ “หน้าเจื่อน” รีบพาเหยื่อส่งโรงพยาบาล
กองบัญชาการตำรวจนครบาลตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดวินัยร้ายแรงพบมีมูลสอดคล้องคำให้การของญาติผู้เสียหาย
เบื้องต้นดำเนินคดีข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายแก่กายและใจ ก่ส่วนข้อหาอื่น ๆ หากตรวจสอบพบเข้าข่ายครบองค์ประกอบข้อหาใดจะดำเนินคดีเพิ่มเติม
พร้อมสั่งให้ไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจจราจร พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พูดชัดจะไม่ปกป้องให้ความช่วยเหลือ หรือทำคดีบิดเบี้ยว จะทำคดีอย่างตรงไปตรงมา
“คดีนี้ข้อเท็จจริงมีเพียงอย่างเดียวประกอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากความผิดพลาดของตำรวจทั้ง 7 นายเองที่ไม่มีการตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบว่ารถที่แหกด่านเป็นรถของผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่” พล.ต.ต.นพศิลป์ว่า
แม้เป็นผู้ที่ขับรถฝ่าด่านจริง ตำรวจก็ไม่มีสิทธิกระทำการในลักษณะดังกล่าว
เลือดร้อนลุแก่อำนาจ