รวบบัญชีม้าคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ วิดีโอคอลหลอกให้โอนเงินตรวจสอบ สูญเงินกว่า 1 ล้านบาท

พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ,พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.อรรชวศิษฎ์ ศรีบุญยมานนท์ ผู้กำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง และ พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รองผู้กำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.วรุตม์ คำหล้า สารวัตรกองกำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย ร.ต.อ.พิชชากร กองสวัสดิ์ ,ร.ต.อ.พงศธร อารีย์ รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล 

น.ส.พรทิพย์ อุเทนพันธ์ อายุ 63 ปี ชาวจังหวัดสงขลา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.1052/2567 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด” จับกุมที่หน้าบ้าน ซอยนวมินทร์ 74 แยก 3-10-13 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพ

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2567 ขณะผู้เสียหายอยู่ที่ จังหวัดชุมพร ผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์บอกว่า ผู้เสียหายตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดียาเสพติดและคดีฟอกเงิน โดยบอกว่า เรามีชื่อคุณ เบอร์โทรศัพท์ บัตประชาชน และที่อยู่ และขอไอดีไลน์ไปโดยมีไลน์ชื่อ สภ.เมืองสุรินทร์ แอดมา และแจ้งให้ผู้เสียหายเดินทางมาสุรินทร์เลยไหม ผู้เสีหยายตอบว่าไม่สะดวก ยินดีที่จะเดินทางไปแต่ไม่สะดวกวันนี้และไลน์ดังกล่าวส่งรูป หมายจับยาเสพติดโดยผู้เสียหายถามว่าเป็นใครทางไลน์ดังกล่าวได้ส่งรูปบัตรข้าราชการตำรวจให้ดูทำให้ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง และมีการโอนสายไปให้อีกคนโดยมีการเปิดวิดีโอคอลงมีรูปบุคคลอ้างว่าเป็นตำรวจโดยมีการไล่ถามบัญชีธนาคารของผู้เสียหายว่ามีกี่บัญชีโดยไลน์ดังกล่าวได้ให้หมายจับและหมายอายัดของ สภ.เมืองสุรินทร์ให้ผู้เสียหายดูและมีรูปเล่มบัญชีธนาคารกสิกรไทยกับชื่อผู้เสียหายปรากฏในรูปที่มีการจับกุมยาเสพติดโดยไลน์ดังกล่าวอ้างว่าบัญชีผู้เสียหายเป็น 1 ใน 24 บัญชีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นของผู้เสียหาย โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินมาเพื่อตรวจสอบ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินมารวมกัน 2 ธนาคารของผู้เสียหายที่มี รวมเป็นเงิน 1,056,000 บาท เมื่อผู้เสียหายรวมเงินแล้วแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินตรวจสอบโดยในไลน์ดังกล่าวได้เดินเข้าไปในห้องที่อ้างว่าเป็นผู้จัดการโดยมีการเปิดวิดีโอคอลให้ผู้เสียหายดูและบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้จัดการในไลน์ดังกล่าวแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินจากบัญชีมา

รวจสอบ โดยผู้จัดการคนดังกล่าวอ้างว่าแอปธนาคารได้ถูกอายัดแล้วเมื่อผู้เสียหายตรวจสอบแอปธนาคารไม่สามารถเปิดได้จริงจึงหลงเชื่อโอนเงิน โดยบุคคลดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นผู้จัดการให้ผู้เสียหายโอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเพราะถ้าไม่โอนจะถูกจับและบริษัทจะเสียชื่อให้โอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์โดยผู้เสียหายได้โอนจากบัญชี ไปธนาคาร cimb ชื่อบัญชี พรทิพย์ จำนวน 1,000,000 บาท หลังจากนั้นแจ้งให้โอนเพิ่ม ต่อมา ระหว่างทางเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ก็มีการโทรมาหลายสายแต่ผู้เสียหายไม่ได้รับ จนวันที่ 4 มกราคม 2567 เวลา21.00 น.ผู้เสียหายถึงบ้าน ผู้เสียหายทราบแน่ชัดว่าโดนหลอกจึงมาแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าตนได้เสริชหางานทำใน Facebook ตนได้คุยกับนายกิจซึ่งได้พูดคุยเรื่องหางานทำที่บ่อนปอยเปต มีรายได้ดีแต่ก่อนที่จะไปทำงานต้องเปิดบัญชีธนาคาร 5 บัญชีโดยให้ค่าเปิดบัญชีๆละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 5,000 บาท นายกิจอ้างว่าบัญชีที่ผู้ต้องหาเปิดนั้นจะรับโอนหุ้นให้กับนักธุรกิจฝั่งปอยเปต ต่อมานายกิจได้นัดให้ผู้ต้องหาไปเจอที่คิวรถตู้หมอชิตเพื่อเดินทางไปทำงานที่ปอยเปต เมื่อไปถึงคิวรถตู้นายกิจมอบเงินจำนวน 5,000 บาทค่าบัญชีธนาคารดังกล่าวให้กับผู้ต้องหาก่อน จากนั้นนายกิจนั่งรถตู้ไปกับผู้ต้องหาเดินทางไปที่อรัญประเทศ เมื่อไปถึงอรัญประเทศ นายกิจบอกกับผู้ต้องหาเพียงว่าตนจะตามไปทีหลัง ให้ผู้ต้องหานั่งรถไปกับชายชาวไทยที่มารอรับที่คิวรถตู้ก่อน จากนั้นเมื่อไปถึงถนนทางลูกรัง ตนได้เดินทางเข้าบ้าน ลักษณะเป็นบ้านลักษณะก่ออิฐ เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน ตนเดินต่อไปเรื่อยๆจนไปทะลุ กับประตูบ้านอีกฝั่ง หรือออกจากประตูบ้านหลังนั้น ก็กลายเป็นประเทศกัมพูชา และมีรถยนต์มารับตน บุคคลที่รับตนเป็นชายชาวจีนจำนวนหลายคน กลุ่มชายชาวจีนพาตนเข้าไปในตึก7ชั้น และให้ตนดำเนินการสแกนใบหน้าในมือถือที่กลุ่มชาวจีนได้จัดไว้ให้ และตนได้เข้าไปอยู่ภายในห้องมีลักษณะคล้ายๆเหมือนห้องขัง ตนได้อยู่ในตึกดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในแต่ละวันกลุ่มชายชาวจีนจะเรียกตนมาจากห้องที่ตนพักอยู่มาเพื่อสแกนหน้า วันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน กลุ่มชาวจีนได้เรียกตนว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องกลับประเทศไทยแล้ว ตนจึงได้เดินทางกลับ แต่ก่อนที่ตนจะได้กลับ ตนได้แอบถ่ายรูปบันทึกเสียงของกลุ่มชาวจีนดังกล่าวไว้ แต่กลุ่มชายชาวจีนจับได้ว่าตนได้แอบถ่ายรูปและอัดเสียง จึงถูกยึดโทรศัพท์ไม่ให้นำโทรศัพท์มือถือกลับมายังประเทศไทย หลังจากนั้นตนได้ค่ารถกลับบ้านอีก 2,000 บาท จากนั้นตนได้นั่งรถตู้กลับ เมื่อถึงประเทศไทยตนได้มาพักอาศัยอยู่กับพี่ชายย่านนวมินทร์ เพียงไม่นาน ตนจึงถูกเจ้าที่ตำรวจสืบนครบาลจับกุมในข้อหาบัญชีม้า จากการตรวจสอบในฐานระบบ พบมีหมายจับติดตัวในลักษณะเดียวกันอีก 5 หมาย 

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ขอฝากเตือนประชาชน ให้ทุกท่านมีสติ พิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่หลงเชื่อมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว และตำรวจจริงจะไม่มีการวิดีโอคอลหาผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาโดยเด็ดขาด ไม่มีการส่งหมายจับหาผู้ต้องหา ไม่มีการให้โอนเงินตรวจสอบ เพราะตำรวจจริงสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว หากท่านไม่แน่ใจ ขอให้เดินทางไปยังสถานีตำรวจใกล้บ้าน ขอตรวจสอบหมายจับได้ ส่วนพวกที่หางานทำในอินเตอร์เน็ต ขอให้ท่านระมัดระวังถูกหลอกไปเป็นบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยนำค่าตอบแทนมาล่อใจ แต่สุดท้ายท่านก็จะถูกออกหมายจับ ไม่คุ้มแน่นอน ทั้งนี้หากพบปัญหาเกี่ยวกับมิจฉาชีพออนไลน์สามารถติดต่อ ศูนย์ AOC 1441 เพื่อเข้าปรึกษา แจ้งเบาะแส หรือแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

RELATED ARTICLES