ม้านอกสายตา

ท้ายที่สุดอำนาจอยู่ในมือใคร

พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติเหมือนกระดาษ “ไร้คุณค่า” ถึงเวลาไม่อาจแก้ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายบ่อเกิดแห่งการทำลายขวัญกำลังใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

แม่ทัพแต่ละหน่วยไม่อาจช่วยคนทำงาน เพราะเจอผู้กุมอำนาจที่ใหญ่กว่า “โยนตั๋ว” มาให้จัดสรรเก้าอี้ตามอำเภอใจ

บังคับ “หยิบคนเข้า เอาคนออก”

วังวนของความโซมมหมักหมมเป็น “พิษร้าย” ทำหลายคนหัวใจสลาย

ร้อยตำรวจเอกคนหนึ่งระบายความรู้สึกสะท้อนความจริง

ตั้งแต่จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจมา งานแรกที่ทำคืองานสอบสวน ยิ่งทำยิ่งรู้สึกว่ามันสนุก ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยคิดที่จะย้ายไปทำงานสายอื่นอีก

นอกจากสายงานสอบสวน เพราะชอบงานสอบสวน

ชอบที่จะช่วยเหลือคน ชอบให้คนที่มันกระทำความผิดได้รับโทษ

คดีมากมายที่ทำให้ชาวบ้านมีรอยยิ้ม เช่น นำทองคำ 10 บาทมาคืนชาวบ้าน นำสร้อยข้อมือเพชร ราคาหลักแสน มาคืนให้ชาวบ้าน

ระหว่างที่ทำงานยังศึกษาหาความรู้เพื่อนำมาพัฒนาองค์กร ไม่ว่าจะเรียนเนติบัณฑิตยสภา  เรียนปริญญาโทนิติศาสตร์

สอบผ่านด้วยความสามารถของตัวเอง และนำความรู้มาช่วยเหลือองค์กร ช่วยเหลือชาวบ้าน ทั้งสั่งฟ้องและสั่งไม่ฟ้อง

แต่การขอขึ้นตำแหน่งสารวัตรสอบสวน

ปีแรก……เขียนคำร้องไป…….. ไม่มีชื่อ

ปีที่สอง …..เขียนคำร้องไป……..ไม่มีชื่อ

ปีที่สาม ……เขียนคำร้องไป …ผู้บังคับการเสนอ ..ภาคหยิบออก

แสดงว่าองค์กรนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุคลากรที่พยายามผลักดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จ

“จากนี้อย่าพูดว่าจบนักเรียนนายร้อยตำรวจได้ขึ้นทุกคน เส้นทางนี้คงไม่เหมาะกับคนอย่างผม” เจ้าตัวว่า

ขอบคุณท่านผู้บังคับการจังหวัดที่เสนอชื่อขึ้นเป็นสารวัตรสอบสวน

“แม้ปลายทางจะถูกหยิบชื่อออก บุญคุณนี้ผมไม่มีวันลืม” เขาบอกและยินดีกับทุกท่านที่ได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น

อีกราย พันตำรวจโทถึงแม้จะมีความรู้ความสามารถ ผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่ยอมรับจากองค์กรตัวเอง และหน่วยงานรอบข้าง

เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอีกมากมาย

แต่องค์กรกลับ “ไม่ผลักดัน” ให้คนเก่งคนดี มีอำนาจหน้าที่ เพื่อที่จะใช้ทำงานรับใช้ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ

“เบื้องต้น ผมขอปฏิเสธหน้าที่การสอน การบรรยายถ่ายทอดความรู้ทุกหลักสูตรนะครับ”

เขาให้เหตุผลคงไม่มีความรู้ความสามารถมากพอ

RELATED ARTICLES