“ขาเทียม”ทำให้เกิดรสชาติ “ไม่เท่าเทียม”

 

“ตำรวจสายนิติกร ก็ถือเป็นตำรวจ หากเผชิญเหตุซึ่งหน้าจะทำอย่างไร” สิบตำรวจขาพิการนักสู้ชีวิตตอกกลับแรง

เขาพลาดหวัง “ดาวบนบ่า” ทั้งที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าคนปกติทั่วไปด้วยซ้ำ

กองบัญชาการศึกษายกเอามติเอกฉันท์ของคณะกรรมการ “ตัดสิทธิ” ปัดหลุดกระดานสอบเลื่อนเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร

อ้างระเบียบกฎเกณฑ์ขาดคุณสมบัติการสอบคัดเลือก

ส.ต.อ.ธนวรรฒน์ ปัญญาเลิศศรัทธา ผู้บังคับหมู่งานสืบสวน สถานีตำรวจภูธรบ้านบึง จังหวัดชลบุรี โดน “ปัดตก” เนื่องจากเป็นผู้มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศรับสมัคร เพราะประสบอุบัติเหตุจนต้องกลายเป็น “ผู้พิการใส่ขาเทียม”   

หลังเขารับสมัครข้าราชการตำรวจชั้นประทวนผู้มีวุฒิปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อแต่งตั้งเลื่อนชั้นเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรกลุ่มสายงานสืบสวนสอบสวน

ทำคะแนนผ่านการสอบข้อเขียนคิดเป็นร้อยละ 60.6 ผ่านสนามความเหมาะสมกับตำแหน่งด้วยการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายว่ายน้ำและวิ่ง

แม้ “ขาซ้ายขาด” ตั้งแต่เข่าลงมาเขาทำบันทึกขอ “ถอดขาเทียม” ออกเพื่อว่ายน้ำอยู่ในเกณฑ์เวลา ตามด้วยทดสอบวิ่งขอใช้อุปกรณ์ขาเทียมสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ

ขณะนั้นแพทย์ประจำสนามไม่อาจให้ความเห็นว่าอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอุปกรณ์เสริมหรือไม่

กลายเป็นประเด็นเหตุผลตามที่ระเบียบ “ต้องห้าม” ไว้ในประกาศ

แต่ปล่อยให้เขาแสดงความสามารถผ่าน “ด่านหิน” ได้อย่างสบาย  

ท้ายสุดคณะกรรมการดำเนินการคัดเลือกประชุมพิจารณาเพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อเอามาเป็นข้ออ้าง “ผิดคุณสมบัติ”  หากเข้าทำงานจะเกิดอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากต้องใช้ “อุปกรณ์” เสริมในการเดินและการวิ่ง

ไม่มองเหตุผลว่า เขาทำงานอยู่ด้านการสืบสวนอยู่แล้ว ทำไมจะเลื่อนเป็นกลุ่มงานสืบสวนสอบสวนไม่ได้

ผลพวงของ “นายใจแล้ง” เป็นกระแสดราม่าทำ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องโดดลงมาให้พิจารณาทบทวนใหม่ ด้วยความละเอียด รอบคอบ มีความเหมาะสมตามสายงาน เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย

คำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา ความตั้งใจการรับราชการ กำชับผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญ ดูแล ใส่ใจสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ ขวัญกำลังใจอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

ทว่า พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษายังสงวนท่าที่ไม่แสดงความเห็นในประเด็นร้อนในฐานะ “ผู้นำหน่วย”

ขณะที่  ดร.ณรงค์ ไปวันเสาร์ นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก และประธานฝ่ายกฎหมาย สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยถือเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการอย่างชัดเจน

ขัดต่อพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ

ด้าน ส.ต.อ.ธนวรรฒน์ ปัญญาเลิศศรัทธา  ตำรวจสายแอดเวนเจอร์ลุยไปทั่วทุกสารทิศยืนยัน อ่านประกาศรับสมัครดีแล้วว่าจะต้องไม่เป็นบุคคลหรือผู้พิการที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่

“ต้องย้ำว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ก็ดูจากข้อเท็จจริง ผมเป็นตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่ได้ปกติ แล้วมันจะเป็นอุปสรรคได้อย่างไร”

ถ้ารู้ว่าไม่สามารถผ่านหลักเกณฑ์ได้ คงไม่สมัคร  

แถมโต้แย้งคำชี้แจงของกองบัญชาการศึกษา ประเด็นอนาคตอุปกรณ์ชำรุด จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ “ท่านเอาเรื่องอนาคตที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นหรือไม่ นำมาพิจารณา มันไม่เป็นธรรมครับ เพราะถ้าอนาคตมันไม่ชำรุดละ จะเป็นอย่างไร”

บอกด้วยว่า ต้องการจะให้พนักงานสอบสวนเผชิญเหตุให้ได้หรืออย่างไร น่าจะทราบดีกว่าพนักงานสอบสวน แทบจะไม่มีโอกาสได้เผชิญเหตุซึ่งหน้าเลย ลำพังทำสำนวน สอบปากคำก็หมดเวลาแล้ว

กองบัญชาการศึกษาแจ้งข้อห้ามไม่หมด เพราะตามประกาศ ระบุว่า “ห้ามอุปกรณ์ช่วยเหลือหรืออุปกรณ์เสริม ในการทดสอบใดๆ อันได้เปรียบผู้เข้าทดสอบรายอื่น”

“ผมใส่ขาเทียมสำหรับวิ่ง มันทำให้ได้เปรียบผู้เข้าสอบรายอื่นอย่างไร ท่านมีงานวิจัยหรือตัวชี้วัดหรือไม่” เจ้าตัวบอกและว่า ขาเทียม ตามนิยามไม่ใช่อุปกรณ์เสริม แต่เป็น “อวัยวะเทียม” เพื่อใช้ทดแทน “การใช้ขาวิ่งก็ไม่ทำให้ผมได้เปรียบแต่อย่างใด เพราะจะวิ่งเร็วหรือช้า มันก็ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของร่างกาย ถ้าเช่นนั้น บุคคลที่น้ำหนัก 100 กิโลกรัมที่ไม่ได้ออกกำลังกาย หากใส่ขาเทียมวิ่ง จะวิ่งเร็วกว่านักวิ่ง ที่วิ่งเป็นประจำหรือไม่”

เอา “สีข้างเข้าถู” ดูแล้วไม่แฟร์กับตำรวจผู้น้อยที่อยากติด “ดาวบนบ่า”

 เย็นชาเลือกเหลื่อมล้ำเกินเหตุ

 

 

 

RELATED ARTICLES