เดินหน้ารับฟังความคิดเห็น “ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” ต่อเนื่อง
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” ที่ห้องบุตรน้ำเพชร หอประชุมชัยจินดา กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 จังหวัดภูเก็ต
เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนในพื้นที่ภาคใต้
มี พล.ต.ท. อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับ รองผู้บัญชาการและผู้บังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เข้าร่วม
การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้นับเป็นเวทีที่ 3 ที่จัดอย่างต่อเนื่องจากเวทีในภาคกลางโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จังหวัดนครปฐม และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น
มีเป้าหมายเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
ภายในงาน ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในกระบวนการยุติธรรมร่วมอภิปราย ได้แก่ คุณอมรพันธุ์ นิติธีรานนท์ อดีตผู้พิพากษา ดร.รังสรรค์ คงทอง อาจารย์พิเศษ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต คุณรุ่งนภา พุฒแก้ว ประธานสภาทนายความจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน อดีตผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.ต.นรินทร์ บูสะมัญ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9
ได้ผู้ร่วมงานกวา 300 คน ประกอบด้วย ตัวแทนหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคประชาชน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนพนักงานสอบสวน รวมทั้งข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9
ภายหลังการเสวนาในภาคเช้า ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) ระดมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติ
สำหรับร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ระหว่างการหารือ มีสาระสำคัญคือ การให้อัยการมีอำนาจกำกับดูแลงานสอบสวนมากขึ้น เช่น การให้ความเห็นชอบก่อนออกหมายเรียกหรือหมายจับ รวมถึงการกำกับการสอบสวนในคดีสำคัญ หรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม
หลายฝ่ายได้แสดงความห่วงกังวลว่า อาจก่อให้เกิด “ความล่าช้า” ในกระบวนการสอบสวนจาก “ความซ้ำซ้อน” ในการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวน อัยการ และศาล ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้เสียหาย
อาทิ ขั้นตอนการออกหมายเรียก หมายจับ หากนำมาใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ตามที่มีข้อจำกัดด้านสถานการณ์และความมั่นคง
นอกจากนี้ในวงเสวนายังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องของงบประมาณรัฐที่จะต้องจัดสรรเพิ่มเติมเพื่อจัดหาบุคลากร ทรัพยากร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เพื่อรองรับภารกิจและกระบวนงานที่จะเพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายนี้
ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนกันในการเสวนา คือ การจะแก้ไขปัญหางานสอบสวนและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำสำนวน ระหว่างพนักงานสอบสวนและอัยการ อาจสามารถดำเนินการได้ผ่านการปรับปรุงรูปแบบการประสานงาน หรือ การแก้ไขระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง
น่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เหมาะสม และรวดเร็วกว่า
ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญาที่เป็นกฎหมาย “แม่บท” กลับจะทำให้ไปกระทบหลักการภาพใหญ่ของระบบกฎหมายอาญาที่เป็นระบบกล่าวหาของประเทศไทยทั้งระบบโดยไม่จำเป็น
ส่งผลให้เกิดความล่าช้าจากการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อน และส่งผลเสียต่อประชาชนผู้เสียหาย
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรวบรวมผลการเสวนาทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ เพื่อนำมาจัดทำเป็นข้อคิดเห็นอย่างเป็นทางการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อไป
ตำรวจประกาศชักธงเดินหน้าต่อต้านเต็มสูบ