ปฏิบัติการจ้องจับผิดกำลังส่งผลพิษแก่เด็กน้อย

กลายเป็นเรื่องราวของคนโลกสวย แต่ความคิดบรมห่วยไม่แยกแยะ

ความจริงใน “สังคมก้มหน้า” ใกล้ถึงเวลาฆ่าคนได้

จากภาพแอบถ่าย หรือจงใจจ้องจะถ่ายตำรวจโรงพักห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ นำรถหลวงทะเบียนตราโล่ที่ใช้ในราชการไปใช้ส่วนตัวรับลูกน้อยจากโรงเรียน

รถกระบะโตโยต้า รุ่นรีโว มีทะเบียนตราโล่ชัดเจน ติดสติกเกอร์ข้างตัวรถระบุต้นสังกัดสถานีตำรวจภูธรห้วยทับทัน ตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ

ตัดกับภาพเด็กนักเรียนตัวน้อยสะพายเป้เปิดประตูจะขึ้นรถ

จุดประเด็น “หนูน้อยสุดโก้รถโล่คอยรับส่ง”

เด็กไร้เดียงสากำลังกลายเป็นเหยื่อของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วย “ไฟราคะ” เคียดแค้นชิงชังตำรวจเอาผลงานมาอวดเผยแพร่สู่โลกโซเชียลเป็นหลักฐานแจ้งเอาผิดต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  

สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วถึงความไม่เหมาะสม

ไม่เหมาะสมที่นำรถหลวงไปใช้ส่วนตัว

กับไม่เหมาะสมที่นำเอาภาพมาตีแผ่ “จ้องจับผิด” ให้ตำรวจและครอบครัวเดือดร้อ

ประเด็นหัวร้อนครั้งนี้ นายชาญชัย พลศรี ผู้อำนวยการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดศรีสะเกษ อ้างว่า ได้รับคำสั่งจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่สื่อโซเชียลนำเสนอภาพที่มีการนำรถของราชการไปใช้รับส่งนักเรียน อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบ เนื่องจากมีรายละเอียดมาก ต้องตรวจสอบตรงที่ว่า มีการนำรถมาใช้รับส่งเป็นประจำหรือไม่ หรือนำรถมาปฏิบัติหน้าที่ติดต่อราชการในจังหวัดแล้วถึงเวลาแวะรับลูกพอดี

ส่วน พล.ต.ต.สุรเดช เด่นธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ บอกว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรห้วยทับทันตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วรายงานมาในทันที

“เรื่องที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่วงการตำรวจ ผมจะไม่ปล่อยให้ล่าช้า ต้องตรวจสอบให้ได้รายละเอียดโดยเร็ว” พล.ต.ต.สุรเดชว่า

สุดท้ายชะตากรรมของตำรวจชั้นผู้น้อยที่นำรถหลวงไปใช้ส่วนตัวจะเป็นอย่างไร

วัดใจผู้บังคับบัญชากล้าพอจะช่วย “หาทางออก” หรือตัดใจให้ออกจากราชการตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด

เพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์หน่วยงานตัวเอง

ทิ้งตราบาปให้ “เด็กนักเรียนตัวน้อยวัยไร้เดียงสา” ที่โดนมองว่า เป็นชนวนของ “ปัญหาร้อน” ที่เกิดขึ้นกับพ่อ

พ่อที่มีอาชีพเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์คอยออกช่วยเหลือดูแลสารทุกข์สุขดิบชาวบ้าน เสียสละเวลาส่วนตัว ทิ้งครอบครัวไปอำนวยความสะดวกแก่ผู้อื่นเพียงเพื่อหยิบยื่นความสงบสุขแก่สังคม

ไม่มีเสียงชื่นชม ตรงกันข้ามกลับมีเสียงสะท้อนด่ายับ

เสมือนนาฏกรรมอำมหิตที่คิดเป็นตำรวจ

 

 

 

RELATED ARTICLES