ปรากฏการณ์นาฏกรรมสีกากีแห่งปี 2561

ตลอดระยะเวลาขวบปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวบนเวที “นาฏกรรมสีกากี” มากมายที่ยังไม่หนีหายไปจากความทรงจำ

ขออนุญาตหยิบยกมาทบทวนหลากหลายเหตุการณ์สารพัดที่ผ่านเข้ามาสู่องค์กรตำรวจ

เริ่มต้นด้วยภารกิจ “ฮีโร่ถ้ำหลวง” ปฏิบัติการหินในการระดมทีมช่วย 13 ชีวิตทีมลูกหนังเยาวชนหมูป่าอะคาเดมี ออกจากถ้ำหลวง ขุนน้ำ-นางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นแม่ทัพ

ระดมกำลังจากหลายตำรวจหน่วยลุยดงป่าฝ่าขุนเขาเข้าไปช่วยเหลืออยู่เคียงข้างลูกน้อง กระทั่งประสบความสำเร็จในฐานะหนึ่งใน “พระเอก” ที่ปิดทองอยู่หลังพระ แต่สร้างความภาคภูมิใจแก่ตำรวจทุกนายที่สามารถช่วย 13 ชีวิตออกมาได้

“ฉาวที่สุด” ต้องยกให้วีรกรรม พล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย โกงเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ของลูกน้อง 224 นายมูลค่า 229 ล้านบาทหายไปนั่งเก้าอี้ตัวใหม่ตำแหน่งใหญ่กว่าเก่าในสำนักงานกำลังพล

ทิ้งลูกน้องและครอบครัวเป็นหนี้ท่วมหัว

สุดท้ายโดนดำเนินคดีข้อห้า “ฉ้อโกงประชาชน” และถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ

ถอดยศอดีตตำรวจมาเฟีย อีกบริบทของ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการสันติบาลผู้กว้างขวางคนดัง นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 33 โผล่ออกมาอ้างเป็นที่ที่ปรึกษาประธานกรรมการบริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง จำกัด เปิดศึกวิวาทะทีมงาน พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 37

รวมถึง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวในขณะนั้น นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 47 ที่เพิ่งเป็นคู่ความกันในสนามม้าระหว่างนายพลหนุ่มเข้าไปกวาดล้างโต๊ะเถื่อน

และแล้วก็ถูก “เช็กบิลย้อนหลัง” เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ถอดยศและเรียกคืนเรียกคืน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเบญจมาภรณ์ช้างเผือก

เนื่องจากได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ

ปฏิบัติการ ล่าข้ามชาติ หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญมือปืนยิงก่อเหตุยิง น.ส.ปวีณา หรือน้องสปาย นาเมืองรักษ์ อายุ 20 ปี และ นายอนันตชัย หรือฟอส จริตรัมย์ อายุ 21 ปี เพื่อนสนิทตายอย่างโหดเหี้ยมที่ลานจอดรถตรงข้ามพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

แนวทางการสืบสวนพบ “เสี่ยอ้วน” นายปัญญา ยิ่งดัง อายุ 39 ปี เจ้าของสถานบันเทิงในจังหวัดภูเก็ต แค้นที่ถูกฝ่ายหญิงสะบัดรักจึงพาสมุนมาลงมือลั่นไกอย่างเลือดเย็น ก่อนหลบหนีข้ามพรมแดนไปยังประเทศกัมพูชา

 พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าทีมไล่ล่าด้วยตัวเอง ได้คอนเน็กชั่นเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชาช่วยล็อกตัวเสี่ยคนดังจังหวัดภูเก็ตมาดำเนินคดีได้สำเร็จระหว่างเตรียมหนีข้ามฝั่งพรมแดนเวียดนาม

ปิดท้ายด้วยการ ปิดบัญชีโหดอดีตสารวัตรนักฆ่า- นายพันธ์ศักดิ์ มงคลศิลป์ ที่เคยตกเป็นจำเลยอุ้มฆ่าแม่ลูกตระกูล “ศรีธนะขัณฑ์” เมื่อ 20 กว่าปีก่อน พ้นคุกกลับมาอุ้มฆ่า เสี่ยอ้วน-นายชัยชนะ หมายงาน นักธุรกิจในตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เผานั่งยางป่ายูคาลิปตัส บ้านคลองมะเดื่อ หมู่ที่ 8 ตำบลท่าช้าง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

จนมุมแล้วประกันตัวหนี โทษประหาร ล่องหนกว่า 3 ปี โผล่มารับงานยิงนายประชา วรทัด อายุ 52 ปี และ นางปาริดา วรทัด อายุ 50 ปี เจ้าของปั๊มน้ำมันในจังหวัดสระแก้ว

พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการปราบปราม สั่งลูกน้องแกะรอยลากคอกลับมาเข้าตะรางอีกครั้ง

ท่ามกลางความคาดหวังจากสังคมที่ไม่อยากให้อดีตนายตำรวจโหดที่ขึ้นทำเนียบทรชนเดนคุกได้รับอิสรภาพมาสร้าง “สันดานดิบ” อำหมิตต่อในอนาคต

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES