มุมมองตำนานมือปราบหน้าหยก

 

มีโอกาสได้ฟังการเปิดใจครั้งสำคัญของ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผ่านมติชนสุดสัปดาห์ทางช่องยูทูบ

ว่าด้วยหัวข้อการปฏิรูปตำรวจ

อดีตนายพลตำรวจเจ้าของฉายา “มือปราบหน้าหยก” บอกชัดเจนถึงประเด็นสำคัญ คือ คนที่จะเป็นกรรมการเข้ามาปฏิรูป คิดจะปฏิรูปตำรวจ ขอให้ศึกษาโครงสร้างของตำรวจให้เข้าใจก่อน ตั้งแต่ อำนาจหน้าที่ สวัสดิการ จำนวนคน ปริมาณงาน

“เช่นเงินเดือนตำรวจเป็นยังไง สวัสดิการบ้านพักที่อยู่อาศัย การให้สวัสดิการครอบครัว พวกเขาอยู่กันยังไง อันนี้สำคัญมาก  เหมือนเป็นทหารเรียกว่า ท้องต้องอิ่มก่อนแล้วถึงจะออกรบ ถึงจะเอาชนะได้”

ในฐานะที่เคยเป็นอดีตตำรวจเกษียณมา 20 กว่าปี พล.ต.ท.วรรณรัตน์มองย้อนกลับไปแล้วเห็นใจตำรวจในทุกระดับชั้นที่มีปัญหาขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ ต้องซื้ออาวุธเอง ห้องทำงานต้องดิ้นรนปรับปรุงกันเอง ต่างจากตำรวจเพื่อนบ้านทั่วไป

ได้รับคำสั่งย้าย ไปแต่ตัว หิ้วกระเป๋าไปทำงานได้เลย มีบ้านพักให้ มีห้องทำงาน มีโต๊ะทำงาน มีอุปกรณ์ให้หมด ไม่ต้องดิ้นรน

“เพราะฉะนั้นขอให้คำนึงถึงกำลังพล คำนึงถึงรายได้ อะไรต่ออะไรให้รอบคอบ ศึกษาโครงสร้างเสียก่อน แล้วค่อยคิดปรับปรุงกัน ถามตำรวจบ้างว่า เดือดร้อนอะไร มีปัญหาอะไรบ้าง แก้ตรงนั้นเถอะ” พล.ต.ท.วรรณรัตน์ระบุ

เจ้าตัวยืนยันว่า ทุกคนที่เข้ามาเป็นตำรวจ มีเจตนาดีมากกว่าที่จะเข้ามาเพื่อหวังจะกอบโกย แต่ด้วยภาวะที่บังคับต่าง ๆ พออยู่ไปนาน ๆ บางคนประชดชีวิตบ้าง อะไรบ้าง ถึงขอให้ศึกษาระบบงานโครงสร้างของตำรวจให้ถ่องแท้เสียก่อนปรับปรุงเ เงินเดือนระหว่างตำรวจมาเลเซีย ตำรวจสิงคโปร์ ตำรวจฮ่องกง กับเงินเดือนตำรวจไทย เป็นอย่างไร บ้านพักมีให้พร้อมไหม เพราะต้องทำงาน 24 ชั่วโมง มีระดมแบบไม่มีปี่มีขลุย ไม่ใช่ทำงานแบบ 8 โมงเช้าถึง 4-5 โมงเย็นเลิก เพราะโจรไม่ได้หยุด โจรทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องมีตำรวจ 24 ชั่วโมง สนองปัญหา

อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลชี้ว่า การปรับปรุงแก้ปัญหาให้ได้ตรงเป้าหมาย ต้องแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติก่อน ส่วนอำนาจหน้าที่ไม่ยาก กฎหมายเขียนได้ กำหนดอำนาจหน้าที่เอาไปไว้หน่วยไหนไม่สำคัญ อยู่ที่ว่า รองรับปัญหาของประชาชนแค่ไหน

อีกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับงานสืบสวนสอบสวน มือปราบชั้นครูบอกว่า ฝ่ายสืบสวนกับฝ่ายสอบสวนต้องทำงานเป็นทีม ต้องเข้าใจในสถานการณ์ของผู้ต้องหา แต่บางคนมีประสบการณ์น้อยเกินไป เร่งรัดในความสำเร็จของงานมากเกินไปเพื่อที่จะโชว์ให้ผู้บังคับบัญชาเห็นผลงาน ความจริงมีวิธีเยอะแยะที่จะให้คนที่ถูกสอบสวนจำนนด้วยพยานหลักฐาน

“อย่างคดีใหญ่ ๆ หลายคดี บางทีเราคุยกันไม่กี่คำก็รับแล้ว เพราะรู้ว่า เรารู้จริง มีข้อมูลจริง ไม่ดื้อที่จะปฏิเสธ  เหมือนวันนี้สอบ เรามีเวลาที่จะสอบสวน เช้ายังไม่รับ บ่ายก็ค่อยเข้าไปสอบใหม่ก็ได้ หรือตอนค่ำ ไปสอบในสถานที่ใหม่ก็ได้ เพราะในโรงพัก หรือในห้องสืบสวน สอบสวนสามารถทำได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ประสบการณ์ถึงสำคัญ”

พล.ต.ท.วรรณรัตน์มองว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังขาดนักสืบอยู่ นับว่าโชคดีที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดำริที่จะสร้างนักสืบขึ้นมาใหม่ คัดมาโดยเฉพาะ เนื่องจากงานสืบสวนกับงานสอบสวนเป็นหัวใจของอาชีพตำรวจ เวลาคดีเกิด ความคาดหวังของประชาชนที่จะเห็นการคลี่คลายคดีอย่างรวดเร็วเท่าที่จะรวดเร็วได้ เท่าที่คนร้ายจะถูกจับ ถูกนำตัวมาลงโทษ ไม่งั้นก็จะไปก่อเหตุอีก

ตำนานมือปราบนครบาลยอมรับว่า ระบบสืบสวนสอบสวนพัฒนาไปเรื่อย สมัยเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว เราไม่มีทีวีวงจรปิด ต้องใช้วิธีใช้สาย ใช้เทคนิคทางวิทยาการต่าง ๆ ต้องปลอมตัวเป็นพนักงานไฟฟ้า คนขายไอศกรีมบ้าง เป็นพนักงานไปรษณีย์บ้าง  ดักเฝ้ารอการติดต่อมาที่บ้านของคนร้ายไปประสานกับไปรษณีย์  ถ้ามีจดหมายมาถึงที่บ้านนี้ ขอดูออริจินัลว่าประทับตรา ส่งมาจากที่ไหน เพื่อตีวงให้แคบลง

ผิดกับปัจจุบัน พล.ต.ท.วรรณรัตน์ว่า การใช้เทคนิคพัฒนามาเรื่อย กระนั้นก็ตาม สิ่งที่นักสืบทิ้งไม่ได้  ภาษานักสืบเรียก กัดไม่ปล่อย เวลามีคดีแล้วจี้ติด แต่ต้องมีพื้นฐานของงานสืบสวน เช่น การซักถามปากคำ จิตวิทยาในการซักถาม การติดตามหาตัวคนร้ายในรูปแบบต่างๆ ต้องมีความรู้ วิธีหาข้อมูลในท้องถิ่นเป็นต้น การเป็นนักสืบถึงเป็นตำแหน่งเฉพาะทาง

“ท่านสุวัฒน์ กำลังจะสร้างนักสืบใหม่อีก กำลังระดมนักสืบผู้คร่ำวอดในงานนักสืบมาช่วย ท่านเป็นนักสืบเก่า จำไว้อย่าง นักสืบจะไม่พูดมาก เป็นพวกปิดทองหลังพระ พวกอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ไม่อยากจะออกทีวีด้วย ออกไปมันโชว์หน้าตัวเอง แล้วต่อไปก็ทำงานลำบาก ไปไหนใครรู้จัก ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาในการแถลงข่าว เด็กๆ จะไม่พูดจะหลบ”

สุดท้ายวนกลับมาถึงปัญหาการแต่งตั้งโยกย้าย พล.ต.ท.วรรณรัตน์เห็นมาทุกยุคทุกสมัย ยกตัวอย่างไม่ถนัดงานสอบสวน แต่งตั้งเป็นพนักงานสอบสวน ไม่ถนัดงานสืบสวน เอาไปลงเป็นฝ่ายสืบสวน หรือว่าอยู่ดี ๆ ถูกย้ายไปในหน้าที่ที่ตัวเองไม่ถนัด อย่าบอกว่า เป็นตำรวจต้องทำได้ทุกหน้าที่ เป็นไปไม่ได้ทุกคน ต้องมีความชำนาญเฉพาะด้านของตัวเอง

“ช่วงที่ผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ท่านประชา พรหมนอก เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ผมขอท่านประชาบอกว่า ขอแต่งตั้งผู้กำกับสืบสวน 1-9 ด้วยตัวเอง ท่านให้เลย แล้วงานมันก็เดิน แล้วผมพอแต่งตั้งผู้กำกับได้ ก็บอกว่า คุณไปเลือกสารวัตรได้ 1-2 คน คือ เราสามารถพูดกันได้ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นที่ทำอย่างนี้ เป็นเรื่องของงานทั้งนั้น แล้วถึงเวลา มันก็มีผลงานออกมา มีตัวหลักของแต่ละหน่วยๆ”

เวลามีคดีสำคัญ ผู้บังคับบัญชาจะได้ไม่เป็น “หนังหน้าไฟ” ถูกสื่อมวลชนซักถาม ถูกนักการเมืองถามความคืบหน้าแล้วจะอึดอัด ถ้างานค้างเติ่ง จับไม่ได้

“ผมเชื่อว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันมีความชำนาญเรื่องนี้ คงจะเข้าใจในประเด็นนี้” พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ฝากทิ้งท้าย 

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES