“อดทนต่อความเจ็บใจ”
อุดมคติตำรวจบทหนึ่งที่ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 16 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ทรงพระนิพนธ์ให้ไว้เป็นมิ่งขวัญแก่ข้าราชการตำรวจ
พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ฝากถึง พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ต้องใช้ดุลยพินิจแยกแยะให้ออก
ระหว่าง “อดทนต่อความเจ็บใจ” กับการรักษาเกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นตำรวจ การรักษากฎหมายที่ถือเป็น “ขื่อแปของบ้านเมือง” ไว้
ถ้าถึงขนาดถูกชี้หน้า ต่อว่า ด่าทอ ถุยน้ำลายใส่ การที่ท่านอดทนไม่กระโดดชก หรือตอบโต้ โต้ตอบด้วยประการใด ๆ ไปนั้น ถือว่า ได้อดทนต่อความเจ็บใจ เป็นไปตามอุดมคติตำรวจโดยสมบูรณ์แล้ว
แต่จากการกระทำดังกล่าวทั้งคำพูดและภาษากายเป็นการ “ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ “ หรือไม่นั้น
“กระผมคงไม่ต้องบอก และท่านควรจะกระทำอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาศักดิ์ศรี เกียรติยศความเป็นตำรวจ และขื่อแปของบ้านเมือง กระผมก็คงไม่ต้องบอกอีกเช่นกัน”
เรื่องมีอยู่ว่าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี เตรียมให้หญิงผู้เสียหายในคดีล่วงละเมิดทางเพศของอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่ในขณะนี้ ไปรอเพื่อเข้าทำการชี้ห้องเกิดเหตุเพื่อประกอบคำให้การของผู้เสียหายเอง
ระหว่างรออยู่นั้นพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานได้เข้าทำการตรวจพิสูจน์ห้องเกิดเหตุจนแล้วเสร็จ ครั้นจะให้ผู้เสียหายเข้าชี้ห้องเกิดเหตุ ทนายฝ่ายผู้ต้องหาไม่ยินยอม หรือมีคำสั่งคุ้มครองจากศาล(ประเด็นนี้จะเป็นความจริง หรือไม่กระผมไม่ทราบ)
พนักงานสอบสวนจึงไม่ได้ให้ผู้เสียหายเข้าชี้ห้องที่เกิดเหตุ เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย… ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132
“เพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมหลักฐาน ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจ ดังต่อไปนี้ (1) ตรวจตัวผู้เสียหายเมื่อผู้นั้นยินยอม หรือตรวจตัวผู้ต้องหา หรือตรวจสิ่งของหรือที่ทางอันสามารถอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ให้รวมทั้งทำภาพถ่าย แผนที่ หรือภาพวาดจำลอง หรือพิมพ์ลายนิ้วมือ ลายมือหรือลายเท้า กับให้บันทึกรายละเอียดทั้งหลายซึ่งน่าจะกระทำให้คดีแจ่มกระจ่างขึ้น….”
จากบทบัญญัติจะเห็นได้ว่าเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน(และคงหมายรวมถึงผู้ซึ่งต้องช่วยพนักงานสอบสวน) ที่จะเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสิ่งของที่ทางอันอาจสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ และเป็นอำนาจเฉพาะ
บุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็น ไฮโซ โลโซ แม้กระทั่ง ผู้เสียหายเองกฎหมายก็ไม่ได้ให้อำนาจไว้ เมื่อเจ้าของ หรือผู้ครอบครองไม่ยินยอม หรือถ้ายิ่งมีคำสั่งศาลคุ้มครองด้วยแล้วก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปได้…ก็เท่านั้น
ตอบประเด็นที่ว่าแล้วจะทำให้คดีมีน้ำหนักน้อยลงหรือไม่นั้น ขอได้โปรดจงทราบเถอะว่า หลังจากพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจห้องเกิดเหตุโดยละเอียด ได้จัดทำแผนที่ บันทึกภาพห้องเกิดเหตุ ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว แล้วนำเอาแผนที่ เอาภาพห้องเกิดเหตุเหล่านั้นมาสอบปากคำเพื่อให้
หญิงผู้เสียหายให้การยืนยันประกอบคดีก็จะมีน้ำหนัก
เพียงแค่นี้ไม่เข้าใจเชียวหรือ ต้องไปชี้หน้าด่าทอ ถ่มน้ำลายใส่กันทำไม
ส่วนคำขู่ดำเนินคดีผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ตามมาตรา 157 อันนั้นไม่ว่า และไม่น่าจะกังวลเพราะไม่น่าจะเป็นไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีนี้ ให้ใช้ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์
ทำคดีนี้ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง เป็นธรรม
ตามอุดมคติตำรวจอีกบทที่ว่า “ดำรงตนในยุติธรรม กระทำการด้วยปัญญา รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต”