อุบัติเหตุหรือฆาตกรรม

 

พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

สำนวนไทยโบราณอาจใช้ไม่ได้ผลในโลกยุคปัจจุบันที่มักมีการตั้งคำถามข้อสงสัยมากมาย

“พูดไปไม่มีประโยชน์ นิ่งเสียดีกว่า” ใครบางคนคิดแบบนั้น แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเป็นจริง

เขาเคยมีความคิดหอบสำนวนคดีการเสียชีวิตของ แตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ส่งพนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรีพิจารณาสั่งฟ้องพร้อมผู้ต้องหาทั้ง 6 คนส่งสัญญาณเป็นอันจบเกม

แต่คณะกรรมการหลายคนไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกรงจะยังปัญหาค้างคาใจสังคม แม้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงวางนโยบายไว้ชัดเจนว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ญาติของดาราสาวหายข้องใจในทุกประเด็นด้วยการแจงเหตุผลการสืบสวนสอบสวนทั้งหมด

นางพนิดา ศิริยุทธโยธิน แม่ของแตงโมถึงเข้าใจการทำงานของตำรวจ และไม่ติดใจเหตุการตายของลูกสาว

สุดท้ายคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวท่ามกลางสื่อมวลชนที่ถ่ายทอดสดกระจายไปทั่วประเทศละเอียดยิบ มีวิดีทัศน์อธิบาย “ไทม์ไลน์” ของเหตุการณ์ประกอบภาพกล้องวงจรปิด แนวทางการสืบสวนสอบสวนตลอดจนผลการผ่าชันสูตรพลิกศพ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์

ยืนยันมรณกรรมของดาราสาวเกิดจาก “อุบัติเหตุ” พลัดตกเรือ ไม่ใช่เป็น “การฆาตกรรม”

เป็นบันทึกถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจแฟนคลับ และบรรดานักวิพากษ์วิจารณ์ “หิวแสง”

“พนักงานสอบสวนชี้แจงไปเท่าที่จะชี้แจงได้ พยายามหยิบอันนู้นอันนี้มา แต่คนก็ไม่เชื่ออยู่ดี คนถ้าไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ แต่ผมยังเชื่อว่า มีคนที่เชื่อ จริง ๆแล้วตำรวจพยายามทำตามกติกา ตามหลักการ” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรู้สึกปลง

เพียงวันเดียว สถานการณ์พลิกผันเพียงเพราะความผิดพลาดเรื่องภาพประกอบการบรรยายสรุปบาดแผลของผู้ตายที่ตำรวจมั่นใจว่า เกิดจากใบพัดเรือ

ชาวเน็ต “จับโป๊ะ” ภาพข่าวของหนังสือพิมพ์เดอะซันของประเทศอังกฤษ บรรยายข่าวเหตุการณ์เด็กสาวบาดเจ็บมีรอยบาดแผลบริเวณขาไม่เกี่ยวข้องกับใบพัดเรือ

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี พ.ต.อ.วรชาติ แสนคำ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ต้องออกมาแถลงขออภัยในความผิดพลาด

ไม่ได้เจตนาบิดเบือนรูปคดีของดาราสาวผู้ล่วงลับ

พ.ต.อ.วรชาติ แสนคำ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ทำหน้าที่อธิบายเหตุผลที่นำภาพมาประกอบนั้น ใช้อธิบายลักษณะบาดแผลเป็นรูปโค้งเว้าเป็นรูปตัวเอส เนื่องจากมีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ไม่สามารถนำบาดแผลจากศพมานำเสนอได้

ภาพบาดแผลที่ได้มาเกิดจากการตรวจค้นกูเกิลคำว่า Propeller wound  คือ แผลใบพัดเรือ ทำให้ปรากฏภาพบาดแผลทั้งในคนและสัตว์จำนวนมากลักษณะเดียวกับบาดแผลต้นขาขวาของผู้ตายรวมถึงภาพที่ตีพิมพ์ในเดอะซัน แต่คนละมุมกัน  

ยืนยันตำรวจไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงได้ในโลกที่ผู้คนสามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆได้เช่นปัจจุบัน

“ต้องขออภัยประชาชนที่นำภาพไม่ได้ระบุแหล่งที่มาอย่างครบถ้วน จนทำให้เกิดความเข้าใจที่กำกวมและมีข้อสงสัย เนื่องจากเจตนาจริง ตำรวจต้องการนำเสนอภาพบาดแผลที่คล้ายอักษรตัวเอสเท่านั้น และประเด็นนี้ ไม่ทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป”  พ.ต.อ.วรชาติว่า

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เสริมว่า  ภาพในงานวิจัยของนักวิชาการต่างประเทศพบว่า หากโดนใบพัดเรือเฉี่ยว แผลจะเป็นรอยก้างปลาตรง ๆ  ถ้าใบพัดฟันลึกไปอีกจะเป็นตัวเอส แต่หากลึกไปเลยจะมีความโค้งมากกว่าตัวเอส

“เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากสาระสำคัญในคดีไม่ได้เปลี่ยนแปลง” ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ย้ำ มี พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมขออภัยในการนำเสนอข้อมูลที่กำกวม เนื่องจากเจตนาจะให้เห็นลักษณะบาดแผลเป็นรูปตัวเอส ถึงมีภาพนั้นปรากฏขึ้นมา

กระนั้นก็ตามกลายเป็น “ช่องโหว่” ให้เกิดคำถามมากมายว่อนโลกโซเชียล

พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

บางคนอยากบอกว่า ตัวอย่างภาพบาดแผลเป็นลักษณะบาดแผลที่คล้ายทั้งบาดแผลที่ศพ และบาดแผลที่เกิดจากใบพัดเรือ สำคัญผิด เนื่องจากใช้ภาพจริงจากศพไม่ได้ เพราะเป็นข้อจำกัดทางกฎหมาย ขณะเดียวกันภาพดังกล่าวไม่มีปรากฏในสำนวนที่ส่งอัยการ

เพียงนำมาใช้ ประกอบการแถลงข่าวให้ผู้ชมนึกภาพออกในลักษณะบาดแผล

ภาพดังกล่าวเป็นภาพจริง (ไม่ใช่ภาพที่เป็นเท็จ) แค่อธิบายความหมายคลาดเคลื่อน มิได้ทุจริต เป็นข้อมูลภาพถ่ายจริง แต่บรรยายผิดพลาดในประเด็นเล็กน้อย เพราะลักษณะบาดแผลตรงกัน ต่างกันเฉพาะสภาพแวดล้อม หรือสาเหตุการเกิดบาดแผล

แต่นายตำรวจหลายคนขอหยุดต่อล้อต่อเถียง เพราะจะดูเหมือนเป็น “คำแก้ตัว” ปล่อยนักวิชาการ นักวิชาเกิน สารพัด “หิวแสง” แสดงทัศนะเปิดฉาก “ยำใหญ่” ใส่คณะพนักงานสอบสวนยิ่งกว่าลานจอดรถทัวร์

“ได้ทีขี่แพะไล่” อีกสำนวนไทยโบราณถูกนำมาเปรียบเปรย

บางคนหน้าฉากทำตัวเป็น “พระเอก” เที่ยวเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ “แตงโม” แต่เบื้องหลังพฤติกรรมสุด “ฉาวโฉ่” ตระเวนเก็บเงินบ่อนการพนันในพื้นที่ภูธรภาค 1

“เขาไม่พอใจผมไปจับบ่อนย่านพระประแดง” นายตำรวจชุดจับกุมรำพัน และหวังว่าสักวันความจริงคงปรากฏ

เรื่องของกฎแห่งกรรม

 

 

RELATED ARTICLES