ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญในเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้เป็นอันดับหนึ่งเพราะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ล่าสุด ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มือปราบคอลเซ็นเตอร์ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มใหม่เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ชักชวนให้ลงทุนและทำภารกิจ ภายใต้บริษัทปลอมที่ใช้ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP มอบหมาย ให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ 5 ศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวอยู่ในประเทศไทยที่ตามปกติจะอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านสถานที่ตั้งภายในคอนโดย่าน ตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ มีผู้ร่วมขบวนการ 4 คน
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้อำนวยการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล นำกำลัง ชุดปฏิบัติการ 5 ศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบด้วย พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผู้กำกับก่าร(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ จงเจริญ lสารวัตร(สอบสวน)สถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่ พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 1กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร.ต.อ.วุฒินันท์ คงดี รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร.ต.อ.ปรมา ปราณี รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับชุดลาดตระเวนออนไลน์กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล เข้าตรวจค้น ห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถนนแพรกษา ตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ
จับกุมนายสุพรพงษ์ หรือแบงค์ ปัญญาไว อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 977/64 ถนนสามเสน แขวงถนนนครชัยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ของกลาง คอมพิวเตอร์ อออินวัน 3 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง สมุดบัญชี 5 เล่ม
ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม ตามพฤติการณ์ที่ทีมวิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “กลุ่มใหม่” เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ รูปแบบการหลอกลวงให้หลงรักก่อน จากนั้นจะชักชวนให้ “ลงทุนและทำภารกิจ” ภายใต้บริษัทปลอมที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP นอกจากนี้ยังมีเพื่อนร่วมแก๊งอีก 3 คน คือ น.ส.ทิพวรรณ หรือแหม่ม ปัญญาไว น.ส.สิริธร หรือแสตมป์ หมื่นโฮ้ง และน.ส.คณิณัช หรือแฝง จิรโชควนิช อาศัยอยู่ภายในห้องพักเดียวกัน
จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ทำให้ทราบว่าทั้ง 4 ได้ร่วมกันหลอกลวงโดยมีแผนประทุษกรรมสร้างเฟซบุ๊กปลอม (อวตาร) ใช้ภาพโปรไฟล์เป็นสาวสวยแล้วขักชวนเพื่อนในเฟซบุ๊ก พูดคุยเชิงชู้สาวเพื่อชักชวนมาลงทุน เมื่อเหยื่อสนใจจะเชิญเข้า “กลุ่มไลน์” อ้างเป็นบริษัทที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP แท้จริงเป็นบริษัทที่ไม่มีอยู่จริง ให้คุยกับ อ.กอล์ฟ ตัวตนปลอมที่อุปโลกน์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เสนอขายแผนโปรแกรม หลายๆแบบ เช่นการท่องเที่ยว การแต่งงาน แล้วให้โอนเงินร่วมลงทุนตามแผนงานต่างๆเหล่านั้น เหมือนเป็นการให้ทำภารกิจว่านล้อมว่ าเมื่อเหยื่อโอนเงินมาแล้วทำภารกิจเสร็จจะได้เงินคืนในจำนวนมากกว่าเดิม ภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจะมีเหยื่ออยู่ในกลุ่มเพียงคนเดียวที่เหลือจะเป็นหน้าม้าทั้งหมด หน้าม้าแสร้งสงภาพสลิปการโอนเงินทำทีว่าได้รับเงินจริง แท้จริงเป็นสลิปการโอนเงินปลอม เมื่อเหยื่อเห็นว่าคนในกลุ่มได้รับเงินโอนจริงจะเกิดความโลภและยอมโอนเงินลงทุนในที่สุด ทำทีแสดงข้อมูลในโปรแกรมโชว์ยอดรายได้ให้เหยื่อเห็น แต่เหยื่อต้องการถอนเงินก็จะไม่สามารถถอนได้ อ้างว่าทำผิดวิธี และจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ เป็นรูปแบบการวางระบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลายๆแก๊งที่ตั้งออฟฟิศอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลุ่มนี้สามารถรวบรัดระบบต่างๆไว้ในห้องๆเดียวด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 3 เครื่อง และใช้คนจัดการเพียง 4 คน ทั้งการทำระบบหลังบ้าน ระบบการแบ่งห้องไลน์สนทนา ระบบแถว 1 ที่การชักชวนเหยื่อ การปลอมสลิปด้วยเทมเพลตในโปรแกรม Photoshop และอีกหลายขั้นตอน บ่งบอกถึงประสบการณ์และความเข้าใจในการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างดี
จากการซักถามผู้ต้องหาให้รายละเอียดว่า เคยเป็นพนักงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ทำจนมีความชำนาญมาก มีความรู้ระดับอาจารย์ แต่ละเดือนตอนอยู่กัมพูชาสามารถทำยอดเงินได้เดือนละเป็น 100 ล้านบาท ยอมรับว่า ตัวเองคนเดียวสามารถทำงานได้เหมือนคนหกคนในเวลาเดียวกัน เมื่อทำไปเรื่อยเกิดความรู้สึกที่ว่า ทำไมจะไปทำเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากบอสชาวจีนแค่ 3 เปอร์เซ็๋นต์ เกิดความโลภคิดอยากทำเองเพื่อจะได้รับเงินเต็มๆ ระหว่างที่ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชาได้แอบเก็บข้อมูล รูปแบบ สคริปต่างๆของชาวจีน เลือกรูปแบบที่คิดว่าสมบูรณ์แบบเก็บติดตัวไว้ เดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อประมาณเดือกันยายน 2565 ให้โปรแกรมเมอร์คนไทยที่อยู่ในประเทศกัมพูชา เขียนโปรแกรมให้ ในราคา 60,000 บาท แล้วร่วมกับพวกตั้งแก๊งเองแบ่งรายได้จากการหลอกลวงเป็นส่วน วาดหวังไว้ว่า จะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น สตาร์ตอัพเพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือนก็มาถูกจับเสียก่อน
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลกล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มีความน่ากลัว
เพราะทั้ง 4 ถือเป็นต้นเชื้อ เป็นระดับหัวกะทิที่นำความรู้ความสามารถจากการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน กลับมาตั้งต้นทำในประเทศไทย ตำรวจมีการขยายผลต่อไปจนถึงที่สุด ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการ ตัดไฟแต่ต้นลมได้อย่างทันท่วงทีที่เกิดมาจากการวางรากฐาน วางระบบไว้อย่างดี ของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่สมัยยังดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นหัวเรือทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาเป็นเวลาหลายปี ขอฝากประชาสัมพันธ์ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากคนร้ายกลุ่มนี้ สังเกตจากภาพอวตาลที่ใช้หลอก แจ้งข้อมูลมาที่ สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือ ศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลข 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com และขอเตือนขอเตือนประชาชนคนไทยที่ว่างงานอยู่ กำลังตัดสินใจไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่ไปแล้วก็เป็นคอลเซ็นเตอร์ เมื่อใดที่ไปเข้าร่วมแก๊งแล้วจะกลับประเทศมาเยี่ยงอาชญากร มิใช่เหยื่อ