ล่าถึงแดนกิมจิโจรชิงทรัพย์ร้านทองพัทยาหนีกบดานไกล

 

ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค  2 พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2  พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาร 2 ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสากล สนธิกำลังกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี และตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  จับกุม นายสุนทร หรือโต้ง ปิ่นนาค อายุ 33 ปี  ผู้ต้องหา “ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิด เพื่อพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม”

พฤติการณ์ในการจับกุม เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เวลาประมาณ 20.00 น. ได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ร้านทองออโรล่าสาขาโลตัสพัทยา จากการสอบถามพนักงานในร้านให้การว่า คนร้ายเป็น ชายไทยเดินเข้ามาภายในร้านและขอดูสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาทและเดินไปมาประมาณ 3–4 รอบ ต่อมาได้ควักอาวุธปืนออกมาข่มขู่พนักงาน แล้วเดินมารวบถาดทองไปจำนวน 2 ถาด รวมหนัก 34 บาท มูลค่า 1,074,060 บาท แล้วถือวิ่งออกไป ผู้ต้องหามีการวางแผนในการก่อเหตุมาอย่างดี  ตระเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิด โดยเฉพาะอาวุธปืนบีบีกันที่นำมาใช้ข่มขู่ให้พนักงานประจำร้านทองหวาดกลัว วางแผนเส้นทางหลบหนีน่าเชื่อเป็นบุคคลในพื้นที่

ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งเส้นทางก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุกว่า 150 ตัว ตลอดเส้นทางกว่า 210 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบกว่า 2 สัปดาห์พบจุดที่คนร้ายนำเสื้อผ้าเเละอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุไปทิ้ง ก่อนสืบสวนภาคพื้นดิน กระทั่งพิสูจน์ทราบแหล่งที่มาของสิ่งของที่คนร้ายใช้ก่อเหตุในทุกมิติของการสืบสวนเป็นร้านค้าที่ขายอาวุธปืนบีบีกัน  12 ร้าน บุคคลที่ครอบครองอาวุธปืนบีบีกัน จำนวน 35 คน ร้านค้าที่ขายเสื้อผ้าที่คนร้ายใช้ จำนวน 15 เเห่ง  บุคคลที่ลายนิ้วมือเเฝง ใกล้เคียงกับคนร้าย จำนวน 20 คน ท้ายสุดพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้คือ นายสุนทร หรือโต้ง ปิ่นนาค อายุ 33 ปี ถูกขึ้นบัญชีเป็นบุคคลตามปฏิทินหมายจับสำนักงานตำรวจแห่งชาติลำดับที่ 50 ที่มีรางวัลนำจับ 80,000 บาท

ต่อมาได้สืบทราบว่าผู้ต้องหาตั้งใจหลบหนีไปยังประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2565 และสิ้นสุดการอนุญาตให้อยู่ในประเทศเกาหลีใต้ถึงวันที่ 8 มีนาคม  2566 กลับลักลอบไปประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมบ้านที่เมืองโพซอน มีพฤติการณ์ที่จะไม่ยอมกลับมารับโทษที่ประเทศไทยอีก ตำรวจได้ขออนุมัติต่อองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือตำรวจสากล(INTERPOL)  ออกหมายเเดง (Red Notice) ที่ A-270/1-2023 ลงวันที่ 10 มกราคม 2566

กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ไม่ได้นิ่งนอนใจ  ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ประจำการอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลี และตำรวจสากลของประเทศเกาหลีใต้มาโดยตลอด เพื่อร่วมกันสืบสวนจับกุมคนร้ายนำไปสู่การพบที่อยู่ปัจจุบันของผู้ต้องหาลักลอบรับจ้างทำสวนและทำโรงปลูกผักปลอดสารพิษ  ตำบลโซวอน อำเภอแทอัน จังหวัด ชุงชองใต้ ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลีใต้จนสามารถตามจับกุมได้ในที่สุด สอบสวนรับสารภาพว่า พยายามหลบหนีการกระทำความผิดจากประเทศไทย และขอเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อไปเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายที่ประเทศไทยด้วยความสมัครใจ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 เดินทางไปรับตัวผู้ต้องหาถึงประเทศเกาหลีใต้

อนึ่งในการจับกุมตัว นายสุนทร ปิ่นนาค ผู้ต้องหาคดีชิงทรัพย์ร้านทองออโรล่าสาขาพัทยาใต้ ในครั้งนี้ ถือเป็นการจับกุมผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ที่มีความผิดและอัตราโทษร้ายแรง เช่น คดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ปล้นทรัพย์, ชิงทรัพย์, ลักพาเรียกค่าไถ่ และวางเพลิง ภายในปีงบประมาณ 2566 ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 ทั้งหมด 169 คดีสามารถจับกุมได้ทั้งหมด 169 คดี คิดเป็นผลการจับกุม 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลีและองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาคดีสำคัญในครั้งนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES