ปัดฝุ่นตำนานประวัติศาสตร์ของทุ่งปทุมวันขึ้นมาอีกครั้ง
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 รำลึกถึง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจคนที่ 14
“ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทย ทำไม่ได้ ในทางที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามและกฎหมายบ้านเมือง” เป็นประโยคเต็มของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ แม่ทัพผู้เรืองอำนาจในยุคสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม
แต่ผู้คนมักจะตัดมาเฉพาะส่วนแรกในเชิงประชดประชัน ทว่าสามารถอธิบายถึงความอหังการของตำรวจในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
บุรุษเหล็กแห่งเอเชียได้เชิดชูคุณความดีของลูกน้องคนสนิทที่ทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาหลายครั้ง
เขาตัดสินใจมอบ “แหวนทองลงยา” ที่หัวแหวนเป็นตราหน้าหมวกตำรวจสีแดงสดสวยงามมาก ตั้งชื่อว่า “แหวนอัศวิน”
คนที่ได้รับแหวนนี้จะต้องสวมไว้ ตลอดเวลา ใครไม่สวมติดตัวไว้ 24 ชั่วโมง อธิบดีเผ่า ศรียานนท์ จะเรียกคืนแหวนจากคนนั้นทันที
ตั้งแต่นั้นมาคำว่า “อัศวิน” โด่งดังไปทั่วภูธรและพระนคร
ผู้ได้รับแหวนรุ่นแรกจนได้ฉายา “อัศวินแหวนเพชร” หลังปรับเปลี่ยนมีเพชรฝังอยู่ด้วยเป็น 4 นายตำรวจมือปราบคนสนิทของอธิบดีกรมตำรวจ ประกอบด้วย พ.ต.อ.พันศักดิ์ วิเศษภักดี พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูร พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ พ.ต.อ.วิชิต รัตนภานุ
ก่อนมอบให้กับนายตำรวจที่ทำชื่อเสียงในทางปราบปรามและในทางการงานอื่นอันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการตำรวจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายภูธร หรือฝ่ายนครบาลอีกหลายคน
ท้ายที่สุดมีเพียง 13 นายที่ได้รับ เพราะ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจถือเอาเลข 13 เป็นเลขมงคลจากวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีเป็น “วันตำรวจ”
นอกจาก 4 ขุนพลเอกข้างหายยังมี พ.ต.ท.กมล ชโนวรรณ พ.ต.ท.สวง วุฒินันท์ พ.ต.ท.เยื้อน ประภาวัต พ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์ ร.ต.อ.ยอดยิ่ง สุวรรณาคร ร.ต.อ.เจริญ วัจนคุปต์ พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น สมัยยังเป็นผู้หมวดหนุ่มปราบปรามแก๊งอั้งยี่ที่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ทำนายทายทักว่าอนาคตจะได้เป็น อธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.ท.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน และ พ.ต.ต.อนันต์ พงษ์สุทธิรักษ์
แหวนอัศวิน โลโก้แห่งยุค อัศวินผยอง และ บะหมี่อัศวิน
ย้อนประวัติของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โอนย้ายจากทหารมาเป็นตำรวจ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจ พัฒนากรมตำรวจอย่างก้าวกระโดด นำนโยบายหลายเรื่องจากกองทัพ ทำให้ตำรวจเกิดหน่วยที่คล้ายทหารขึ้นมาหลายหน่วย เช่น ตำรวจรถถัง ตำรวจน้ำ ตำรวจพลร่ม ตำรวจม้า
อีกทั้งยังมีธงประจำหน่วยตำรวจที่คล้ายคลึงกับธงชัยเฉลิมพล มีการสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักต์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ตำรวจยุคนั้นยิ่งใหญ่และถูกเรียกว่า รัฐตำรวจ กองทัพตำรวจ เทียบเคียงกับทัพทหารเหล่าอื่นๆ
ด้วยความที่ยุคสมัยนั้นมีนักเลงอันธพาลชุกชุมทั่วประเทศเต็มไปด้วยโจร หรือเสือ การเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความวุ่นวาย ผู้บังคับกฎหมายอย่างตำรวจต้องมีความเด็ดขาด ทำให้ตำรวจยุคนั้นต้องเข้มแข็ง ดุเดือด ภายใต้การบังคับบัญชาของ อธิบดีเผ่า ศรียานนท์
กระทั่งกลายเป็นบันทึกในหนังสือ ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ที่ พ.ต.อ.พุฒ บูรณะสมภพ นายตำรวจคนสนิทได้เขียนไว้
“ เฮ้ย พวกมึงก็ได้เหนื่อยกับกูหลายครั้งแล้ว ขั้นเงินเดือนก็ได้กันไปตามสมควร บางปีก็ต้องถูกตัดจากสี่ขั้นเหลือสองขั้น เพราะมันจะมากไป กูมาคิดว่า กูจะให้อะไรพวกมึงที่เป็นเครื่องหมายในความตั้งใจทำงานของพวกมึง อย่างไม่คิดแก่ชีวิตมาหลายครั้งแล้ว กูคิดออกแล้ว กูจะให้ไอ้ที่พวกมึงจะต้องนำติดตัวไปตลอดเวลา เพื่อพวกมึงจะได้สำนึกในหน้าที่ด้วย ”
หลังจากนั้นเข้าได้สวมแหวนให้ลูกน้องคนสนิทคนละวง
พ.ต.อ.พุฒยังบอกไว้อีกว่า “หัวแหวนที่ลงยาตราแผ่นดินนั้น มีสีแดงเป็นพื้นเด่นดูสวยงามดี และได้รับคำสั่งให้สรวมไว้ที่นิ้วนางข้างขวาเป็นประจำ จะถอดออกเสียมิได้ ถ้าเมื่อใดได้พบท่านผู้ให้แหวนนั้น แล้วท่านไม่เห็นแหวนวงนั้นอยู่ที่นิ้วนางข้างขวา ผู้นั้นก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเรียกแหวนวงนั้นคืน ตัดออกจากบัญชีไปเลย”
ดังนั้นคนที่ได้รับแหวนอัศวินจะต้องสวมไว้ตลอด 24 ชม เรียกได้ว่าจะนอน จะอาบน้ำ ก็ถอดไม่ได้ หากอธิบดีรู้ว่าถอดออกจะถูกปลดและยึดแหวนคืน
นายตำรวจคนสนิททั้งสี่ออกปราบปรามโจรผู้ร้าย สร้างคุณประโยชน์ต่อทางราชการจนถูกขนานนามว่าเป็น “ยุคอัศวินผยอง”
ความโด่งดังของอัศวินยังได้ลุกลามไปถึงชื่อเมนูอาหารในร้านชื่อดังแห่งหนึ่งย่านราชวงศ์ คือ “ร้านสีฟ้า” อันเนื่องมาจากการที่เหล่าอัศวินแหวนเพชรนิยมไปรับประทานเป็นประจำ และได้สั่งให้เจ้าของร้านทำบะหมี่ที่ใส่เครื่องสารพัดทั้งหมู ไก่ กุ้ง ปู ปลา
กระทั่งลูกค้าคนอื่นเกิดอยากจะสั่งตามแต่ก็เรียกไม่ถูก เมื่อถามจากเจ้าของร้านก็ได้คำตอบว่า “อ้อ บะหมี่ของพวกอัศวิน” ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ “บะหมี่อัศวิน” เป็นรายการอาหารยอดนิยมของ “ร้านสีฟ้า” ไปโดยปริยาย
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 “แหวนอัศวิน” ได้ฟื้นคืนกลับมาเรียกขวัญกำลังใจให้ความเป็นตำรวจไทยยืนในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีอีกครั้ง
ภายใต้ผู้นำทัพที่ชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล