ผู้คุมสอบตัดสินใจเป่านกหวีดหมดเวลา แต่นักกีฬายังไม่ยอมหยุดวิ่ง
แม้กระทั่ง “เจ้าสำนัก” ยังส่งสัญญาณ “ปิดจ๊อบ” เหตุใดหลายคนไม่ยอมรับความผิดหวังแล้วดันทุรังหาช่องทางสร้างความปั่นป่วน
สู้ไม่ยอมถอย
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เตือนสติไว้แล้ว
“ไม่มีใครในโลกได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง และไม่มีใครพลาดหวังไปทุกอย่าง
สมหวังและผิดหวังเป็นของคู่กัน สลับสับเปลี่ยนกัน
ม่มีใครสมหวังตลอดไป
ไม่มีใครสิ้นหวังตลอดกาล”
กลับกลายเป็น “ฤดูกาลแห่งชีวิต” ลิขิตซากชะตากรรมของหลากหลายนายตำรวจในสงครามช่วง “ชิงเก้าอี้ตำแหน่ง”
เมื่อหมดเวลาทำข้อสอบ หลายคนผ่านบอร์ดกลั่นกรองตามอำนาจของ “แม่ทัพ” ดั่งที่พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฉบับปฏิรูปองค์กรกำหนดไว้
ทำไปทำมากระดาษคำตอบกลับสะดุดไม่อาจกระจายเผยแพร่ถึงมือผู้ทำคะแนนผ่านสายตา “ผู้นำหน่วย” ร่วมคณะกรรมการพิจารณาคัดสรรหน้าดำคร่ำเครียดเป็นยิ่งกว่า “ตะแกรงเหล็ก”
ท้ายที่สุดต้องหยุดชะงัก เพราะเจอ “พายุอำนาจ” กดดันให้เปลี่ยนตัว สลับขั้ว หยิบเอาคน “ตั๋วอ่อน”ออกนอกห้องสอบ
“ขาลอย” เคว้าคว้างเพราะตำแหน่งตัวเองมีคนมาเสียบเรียบร้อยแล้ว
เท่ากับว่า พวกเขาถูกย้ายโดยไม่มีความผิด ได้พิจาณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นด้วยการพิจารณาในที่ประชุมอย่างเป็นธรรมและรอบคอบกลับโดน “ตีตก” หลุดจากบัญชีแบบไม่มีความผิดอีกเช่นกัน
หรือผิดตรง “เส้นสายไม่มี” ไร้แรงเสียดทานที่จะต้าน “อำนาจมืด” ดึงดันจะเอาคนของตัวเองมาลง แม้หมดเวลาทำข้อสอบแล้ว
เป็นยิ่งกว่าแก้วร้าวทำลายขวัญกำลังใจ
ถึงเป็นเหตุผลที่ทำไมหลายกองบัญชาการไม่สามารถคลอดคำสั่ง “รองผู้บังคับการ-สารวัตร” ประจำปี 2566 ตามกำหนด “เงื่อนตาย” ได้
ปล่อยเงื้อง่าราคาแพงให้เกิดการแทรกแซงของ “ตั๋ว” จนเกิดอาการมั่วกันไปหมด
เกมจบทว่าหลายคน “ไม่ยอมจบ” เพราะไม่ยอมเลือกพบกับความผิดหวัง
ดิ้นรน “ถีบคนอื่น” เพื่อเอาตัวไปเบียด “แย่งเก้าอี้”
แล้วจะเยียวยาความรู้สึกพวกที่ถูกแรงกระแทก “หลุดออกนอกบัญชี” แบบไม่มีความผิดได้อย่างไร
คณกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ชุดใหม่ “ป้ายแดง” คงต้องเตรียมแสดงความสามารถ
มีดีแบบที่ “กลุ่มคนโลกสวย” วาดหวังไว้จริงหรือ