“นักสืบสมัยก่อนมันต้องใช้โจรเป็นแข้งขา ไม่เหมือนสมัยใหม่ใช้เทคโนโลยีอย่างเดียว”

 

มีสถิติตัวเลขการจับกุมคนร้ายในท้องที่รับผิดชอบ 99 เปอร์เซ็นต์ตลอดชีวิต “มดงาน” กับการทำงานนอกเครื่องแบบ

ร.ต.ท.วิสูตร ทิพยชล อดีตรองสารวัตร (เลื่อนไหล) ฝ่ายสืบสวน สถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เก็บเกี่ยวประสบการณ์งานสืบสวนมาตลอดตั้งแต่จบออกมาจากโรงเรียนพลตำรวจกระทั่งเกษียณอายุราชการ

เขาเป็นชาวอำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จบมัธยมที่บ้านเกิดแล้วหันไปเข้าเรียนช่างกลแถวบางแค แค่เทอมเดิมเดียวกลับบ้าน ตาเป็นครูมองอนาคตหลานชายแล้ว ถ้าไม่เป็นตำรวจต้องเป็นโจรแน่ ถึงไปฝากฝังเพื่อนนายทหารยศ พ.อ.เข้าโรงเรียนตำรวจภูธร 2 จังหวัดชลบุรี จบออกมาถูกส่งไปอยู่สมุทรสงคราม เข้าร่วมชุดเฉพาะกิจตำรวจภูธรเขต 3 ล่า “ตี๋ใหญ่” กรประเสริฐ ช่างเขียน จอมโจรชื่อดังในสมัยนั้น

เจ้าตัวเล่าว่า เป็นนายตำรวจหนุ่มจบใหม่ให้ไปหมกตัวอยู่ละแวกบ้านของตี๋ใหญ่แถวอำเภอบางคนทีติดกับดำเนินสะดวก ถิ่นเกิดของตี๋ใหญ่นาน 2-3 ปี ภารกิจไม่ให้ตี๋ใหญ่เข้ามาในพื้นที่ เพราะช่วงนั้นชาวบ้านเกรงกลัว บ้านไหนรวยจะถูกปล้น มีจดหมายขู่กรรโชกทรัพย์ ถ้าเจอกันต้องหวดกันแน่ แต่จะมีเพียงลูกสมุนเท่านั้นที่วนเวียนเข้าออก ไปเฝ้าสังเกตการณ์นานหลายปี ก่อนหน้ามีบ้านที่ลูกเป็นครู ถูกตี๋ใหญ่พาพวกเข้าปล้น 11 คน ข่มขู่หากแจ้งตำรวจ ออกอาละวาดล่อกันนัวเนียไปหมด จนชาวบ้านดำเนินสะดวกบอกว่า ถ้าตำรวจไม่ปราบ เดี๋ยวจะย้ายหนีกันไปทั้งตำบล

กรมตำรวจส่ง “วสันต์ โชควิชิต” นายตำรวจมือปราบลงพื้นที่รับใบสั่งให้กวาดล้างแก๊งตี๋ใหญ่ มี “ศิริ ทองมี” อยู่ในทีม  มอบหมาย พ.ต.อ.ถวิล เปล่งพานิช เป็นหัวหน้าชุด ร่วมกับ “โสภณ สะวิคามิน” ขณะที่ “บรรดล ตัณฑไพบูลย์ อยู่เฉพาะกิจภูธรภาค 1 ปลอมตัวเข้าไปอยู่ในแก๊งตั้งแต่ยศ ส.ต.อ. ล้วนเป็นภารกิจใหญ่ที่กรมตำรวจระดมกำลังมือดีเข้าลงไปทำงาน

“ผมเป็นแค่พลตำรวจ เหนื่อยมาก ดันไปตอนที่กำลังคุกรุ่น โรงพักบอกว่า มึงหนุ่มที่สุด ต้องลงไป”  กระทั่งตี๋ใหญ่ถูกจับตาย ชุดเฉพาะกิจโดนยุบต่างคนตนต่างกลับต้นสังกัด ร.ต.ท.วิสูตรบอกว่า ใช้เวลาปีเศษขอย้าย เนื่องจากลูกยังเล็ก ประกอบกับแฟนทำงานกรุงเทพมหานคร คิดว่าได้เวลาสมควรแล้ว หาทำเลลงใกล้กรุงเทพมหานครมากที่สุด ก่อนโยกไปอยู่โรงพักปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อปี 2528 ตำแหน่งผู้บังคับหมู่งานสืบสวน ทว่าด้วยความที่มาใหม่ถูกส่งให้ไปทำหน้าที่สายตรวจก่อน 2 ปี ถึงขยับลงงานสืบสวนเต็มตัวยาวจนเกษียณอายุราชการ

ผ่านคดีสำคัญมาเยอะแยะมากมาย อาทิ คดีนายตำรวจมาอบรมที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชถูกฆ่าชิงทรัพย์ตามจับได้ในเวลารวดเร็ว และดังสุดคือ คดีอุ้มฆ่าเสี่ยร้านเพชรเอาศพไปทิ้งข้ามจังหวัดที่ปราจีนบุรี ร.ต.ท.วิสูตรเล่าถึงความบังเอิญนำไปสู่การพิชิตแฟ้มคดีสังหารจากที่ไม่รู้อะไรเลย เพียงแค่ นางรังสิยา ศิลป์ประคอง เอารถมาจอดเบิกเงินธนาคารแล้วถูกคนร้ายทุบกระจกฉกเงินไปหมด 500,000 บาท เป็นเงินที่เตรียมนำไปทำบุญครบ 100 วันการตายของนายสุวิทย์ ศิลป์ประครอง อายุ 47 ปี สามีที่เป็นเจ้าของร้านเพชรคุณหญิงที่ห้างสรรพสินค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ ย่านรามอินทรา

“คุยไปเรื่อยเปื่อย ผมถามว่า สามีถูกฆ่าได้อย่างไร ลำดับเรื่องราวว่า สามีพักอยู่คอนโดมิเนียมท้องที่ปากเกร็ดหายตัวไปพร้อมรถเบนซ์ ก่อนเจอศพทิ้งรมถนนสุวรรณศร ติดไร่ร่มโพธ์ทอง ตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมืองปราจีนบุรี แต่โรงพักที่นั่นไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ ผมก็ถามว่า สามีคุณสนิทกับใครบ้าง เหตุการณ์เป็นยังไงมายัง ปะติดปะต่อเรื่องแล้วคิดว่า น่าสนใจดี” ร.ต.ท.วิสูตรว่า

เขาเอาสมุดโทรศัพท์คนตายมาตรวจสอบหาความเชื่อมโยงผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในพื้นที่ปากเกร็ด เหมือนโชคเข้าข้างไปเจอรถเบนซ์จอดอยู่หน้าบ้าน แต่ยังไม่เข้าไปชนเป้าหมาย ย้อนไปหาเมียม่ายเจ้าของร้านเพชรถามหากุญแจสำรองรถเบนซ์ แล้วกลับไปใช้กุญแจรีโมตกดเปิดได้ทันที พิสูจน์ยืนยันเป็นรถคันเดียวกันแน่นอน รีบรายงาน พ.ต.อ.วิเชียร รัตนพันธ์ ผู้กำกับการโรงพักปากเกร็ดสมัยนั้น ประกอบกำลังเข้าจับกุมนายมณฑล กะไหล่เงิน อายุ 47 ปี

“คดีนี้น่าสนใจ เป็นอะไรที่ผมติดใจ ถูกอุ้มไปจากปากเกร็ด ทำไมกูไม่รู้เรื่องเลยวะ เราก็สงสัยจนเมียคนตายมาเบิกเงินที่แบงก์กสิกรไทย 5 แสน ถามว่า ทำไมเบิกเยอะจัง ถึงรู้ว่า จะไปทำบุญให้แฟนเปิดร้านเพชรอยู่ที่แฟชั่นไอส์แลนด์ เอาเงินไปหมดเลย คนทุบเราก็จับได้ แต่ไม่เกี่ยวกับคดีฆ่า ยังแปลกใจทำคนหายไม่แจ้งโรงพักปากเกร็ด ตามจับได้ผู้เสียหายดีใจมาก รถเบนซ์ไพด้คืน เงินที่ถูกทุบก็ตามได้ คดีอุ้มฆ่าก็คลี่คลาย” มดงานผู้เปิดเกมปิดคดีเคยลืม

เช่นเดียวกับคดีนายตำรวจถูกฆ่าชิงสร้อยทอง เพราะคนร้ายไม่รู้เป็นตำรวจ อดีตสายสืบโรงพักปากเกร็ดเล่าว่า คนร้ายตีด้วยไม้หน้าสาม เราใช้วิธีการสืบสวนแกะรอยแบบเก่าเดินหาข้อมูลตามเด็กคดีลักทรัพย์ตัวแสบ ๆ เอามารีดข้อมูลแลกเปลี่ยนจนได้เบาะแสจับกุมคนร้ายฆ่าตำรวจ  “ผมทำงานแบบตำรวจรุ่นเก่าจริง ๆ คือ ไม่มีเทคโนโลยี รุ่นนั้นอาศัยสาย มึงแสบใช่ไหม มานี่ มาคุย มีอะไร ถ้าเรื่องเล็กปล่อยได้ก็ปล่อย ถ้าเรื่องใหญ่มึงอย่ายุ่งนะ แล้วมันก็มีอะไร สมัยก่อนมันไม่มีเทคโนโลยี มารุ่นหลังๆ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเยอะ”  เจ้าตัวยังยืนยันว่า คดีที่ปากเกร็ดเยอะแยะ แต่ตามจับกุมอยู่ในระดับต้น ๆ เพราะตัวเองค่อนข้างมุทะลุเรื่องงาน ไม่เคยกลัวใคร ชอบวิ่งเข้าหา ไม่มีอยู่ข้างหลัง คือนิสัยเรา ไปไหนก็ต้องวิ่งออกหน้าตลอด

กระนั้นก็ตาม ทำงานหนักด้วยความตั้งใจกลับถูกตีตรากล่าวหาเป็น “จ่าปืนโหด” หลังจากกระทำวิสามัญฆาตกรรมนายโชคชัย โตแสง อายุ 26 ปี หนุ่มพิการขาเป๋ ผู้ต้องหาฆ่าคนตายในท้องที่ปากเกร็ด ถูก พ.ต.ท.คเชนทร์ คชพลายุกต์ สารวัตรสืบสวนโรงพักปากเกร็ดในขณะนั้น นำทีมข้ามจังหวัดไปจับตายในตำบลบึงคำพร้อย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี กลายเป็นข่าวครึกโครม เมื่อ จ.ส.ต.วิสูตร ทิพยชล โดนระบุเป็นผู้ลั่นกระสุนเด็ดชีพคนร้าย

“ถูกแจ้งข้อหา แต่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะผมโตมาจากมหาวิทยาลัยโจร ที่ชุกชุมในพื้นที่  ไอ้เรื่องยิงคนร้ายตาย มันเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างผมรวบรวมเป็นแฟ้ม ตัดข่าวเก็บไว้หมดเป็นข้อมูลว่า ผมทำอะไรมาบ้างเป็นลบกับตัวเอง เสี่ยงสูง อย่างคดีวิสามัญฆาตกรรมก็ถูกตีข่าวว่า ผมยิงคนพิการขาเป๋ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้พิการอะไรเลย” ร.ต.ท.วิสูตรระบายความหลัง

เจ้าของสถิติสายสืบปากเกร็ด จับได้ 99 เปอร์เซ็นต์ หรืออีกเปอร์เซ็นต์เดียว เขาให้เหตุผลว่า ตั้งใจไม่จับ เพราะลูกน้องเราบางคนต้องเก็บเอาไว้ใช้งาน “นักสืบสมัยก่อนมันต้องใช้โจรเป็นแข้งขา ไม่เหมือนสมัยใหม่ใช้เทคโนโลยีอย่างเดียว” ฝากแง่คิดถึงตำรวจรุ่นใหม่ว่า “ในการทำงาน โดยเฉพาะชั้นประทวน ถ้าไม่เกเรในหน้าที่ อยู่รอดหมดทุกคน ถ้าเกเร ไม่เอาหน้าที่ก็จบ ผมอยู่มาไม่มีประวัติด่างพร้อย เต็มที่กับงาน 3-4 บ้าน  โตมาจากการสืบสวน ตำแหน่งครั้งแรกก็เจ้าหน้าที่สืบสวนลงโรงพัก ถือเป็นตำรวจใหม่แกะกล่อง สมัยนั้นส่วนใหญ่ต้องไปงานสายตรวจ ทำงานนอกเครื่องแบบมาตลอดชีวิตรับราชการ”

ร.ต.ท.วิสูตรยังเล่าถึงชีวิตที่ไม่มีโอกาสไปสอบนายร้อยตำรวจ เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่มีเวลาอ่านหนัง ไม่มีโอกาสไปเรียนเหมือนคนอื่น  ยิ่งสมัยตอนตี๋ใหญ่แทบไม่มีเวลากลับโรงพัก ต้องไปนอนบ้านผู้ใหญ่บ้านนาน 2 ปี ไม่มีถนนให้เราวิ่ง ไปไหนต้องใช้เรือกับเดิน ถ้านั่งเรือก็อัตราการเสี่ยงสูง เหมือนเราจะตกเป็นเป้าโจร ส่วนใหญ่จะเลือกเดินไปหลัก วันละหลายกิโลเมตร สอบจ่าเป็นนายร้อยครั้งแรกไม่ติดก็ไม่ยากไปสอบแล้ว

เขาบอกว่า มีการเปิดสายพวกที่มีประวัติวิสามัญฆาตกรรมด้วยกันไม่ถึง 100 คนยังสอบไม่ได้ ถึงไม่สอบแล้ว ไม่ได้อ่านหนังสือ ทำแต่งาน ตามคดีต่างจังหวัดไปทีหลายวัน จะเอาเวลาไหนไปนั่งอ่านตำรา ผู้ใหญ่ไม่ใช่คนอื่น เลือกใช้แต่เรา บางคนย้ายมาอยู่ปากเกร็ดวันแรกถึงกับถามหาคนไหนชื่อวิสูตร เพราะชื่อเสียงรู้จักกันทั่วโรงพักภูธร ถ้ามาปากเกร็ดต้องมาหาคนนี้

“ตอนเป็นเด็กใหม่ ก็โดนรับน้องใหม่ แต่สนุกดี มันได้ประสบการณ์ชีวิต พอย้ายมาปากเกร็ดเหมือนกับเราผ่านงานมาหมด ไม่ได้กลัวใครเลย” นักสืบรุ่นเก่าเล่าด้วยว่า ประทับใจ พ.ต.ท.ชาตรี ตั้งโสภณ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ด เป็นนายที่ดี สุดยอด ตอนที่โดนพิษคดีวิสามัญฆาตกรรม เดินชนให้ตลอด บางคนจะเอาเข้าห้องขังให้นักข่าวถ่ายภาพเพื่อลดกระแส แต่สารวัตรชาตรีบอกไม่ได้ ลูกน้องทำงาน ขอตำแหน่งประกัน จะเอาลูกน้องไปเข้าห้องขัง เพื่ออะไร “ คำพูดของนายชาตรี วันนั้นยังก้องอยู่ในหูผมเลย นายสล้าง บุนนาค โทรศัพท์มาให้ไปเรียกไอ้คนยิงมารับสายซิ ผมขึ้นไปรับสาย แกพูดคำแรกว่า บอกคดีลื้อชนะ ข่าวจะเป็นยังไง ช่างแม่ง ไม่ต้องไปฟัง นี่คือ คำพูดนาย ที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก”

ร.ต.ท.วิสูตรทิ้งท้ายว่า ทำงานอยู่ฝ่ายสืบสวน ไม่มีผู้ใหญ่มาสั่งให้ทำ หรือไม่ให้ทำจนอึดอัดใจสักครั้ง เรารับทำหมด เพราะเป็นหน้าที่ อาสาที่จะทำเอง เพราะชอบอย่างนั้นอยู่แล้ว สมัยคดีแสงชัย สุนทรวัฒน์  ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ยังลงไปร่วมกับหลายหน่วย นั่งนับรถวิ่งเข้าออก จดทะเบียนทุกคันเพื่อดูคันไหนวิ่งซ้ำ จนกันทั้งวัน เพื่อหาพยานแวดล้อม ถือเป็นอีกคดีที่เหนื่อยที่สุด

ฝากย้ำว่า ตำรวจสายสืบตรงครบเครื่อง ไม่ให้มีหนาม ไม่ให้มีเหลื่อม ต้องทำตัวกลมดิ๊กถึงจะอยู่รอด “ผมคิดว่า มีบุญที่หลุดรอดมาถึงวันเกษียณอายุราชการ หลายคดีที่แทบจะเอาชีวิตไปทิ้ง”

วิสูตร ทิพยชล !!!

 

 

 

RELATED ARTICLES