ใบหน้าของเขาเศร้าก้มมองจอโทรศัพท์มือถือ
ดึกแล้วคนทั้งบ้านต่างนอนไม่หลับ ดวงตาสองเด็กน้อยวัยไร้เดียงสาส่งประกายเรียกร้องความสนใจพ่อบังเกิดเกล้าที่เอาแต่นั่งเงียบนานกว่า 10 นาที
ขมวดคิ้วจนภรรยาต้องเข้าไปสวมกอด หล่อนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของสามีห้วงเวลานั้น
ห้วงเวลาลุ้นใจจดใจจ่อมาหลายคืนก่อนฝ่ายสามีจะยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้เห็นถึงบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย
“ไม่เป็นไรพ่อ ไม่ต้องห่วง แม่ดูแลลูก ๆ ได้”
นายพันตำรวจโทหนุ่มยิ้มครั้งแรกแต่ยังแฝงไปด้วยความเศร้า การแต่งตั้งโยกย้ายที่กำลังพลัดพรากจากไกลลูกเมียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ลูกสองคนกำลังน่ารักติดพ่อแจ
“ไม่ต้องกังวลหรอกพ่อ” หล่อนเอาน้ำเย็นเข้าลูบพร้อมกุมมือชายคนรักเสาหลักของครอบครัว
การแต่งตั้งโยกย้ายแต่ละครั้งมันส่งผล “เลวร้าย” กับหลายลมหายใจในบ้านตระกูลผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“พ่อเป็นห่วงแม่กับลูก” เขาไม่ตอบเป็นคำพูดทว่าบอกด้วยแววตา
ตั้งแต่จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เขาไม่เคยย้ายข้ามไปอยู่ต่างจังหวัด ชีวิตตำรวจภูธรรับรสได้จากคำบอกเล่าของเพื่อนฝูงและผู้เป็นนาย แม้มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายในการย้ายสังกัดใหม่ ถึงกระนั้น เขาอดทำใจไม่ได้ที่ต้องไกลห่างลูกเมีย
“แม่เชื่อว่าพ่อดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงพวกเรานะ ทำงานให้เต็มที่” หล่อนยังคงปลอบประโลม
นายตำรวจหนุ่มไม่เข้าใจระบบการแต่งตั้งโยกย้ายที่ “ไร้ความปราณี” เพื่อนพี่น้องนักสืบหลายคนโยกไปทำงานฝ่ายอำนวยการ อีกไม่น้อยกลับไปทำงานสอบสวนกระโดด “ขวางแท่ง” การเจริญก้าวหน้าของสายงานสอบสวนที่คร่ำเคร่งสำนวนมานาน
นักสืบเกือบทุกคนไม่มีใครขอย้ายไปทำหน้าที่ที่ไม่ถนัด
ผิดกับ “นักวิ่ง” หลายคนไม่ถนัดงานสืบสวนกลับอยากลงเบียดเก้าอี้คนทำงาน
ขณะเดียวกัน ทั้งผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ ยันผู้กำกับการคุมหน่วยไม่ได้สิทธิเลือกตัวผู้เล่น
มันกำลังกลายเป็นยุคเสื่อมขององค์กรตำรวจ
ระบบงาน “พังพินาศ” ด้วยคนไม่ชำนาญขาดความเชี่ยวชาญในหน้าที่รับผิดชอบใหม่ เหมือนกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่ง โดยเฉพาะงานด้านสืบสวน สอบสวน หรืออำนวยการ ต่างหยิบใส่คนมั่ว “ตามตั๋ว” ตามใจ “ไอ้โม่ง” คนจัดทำบัญชี
ตั๋วดี มีนายหนุนหลังได้สิทธินั่ง “บัลลังก์ทอง” ตามชอบ
หอบเอามรสุมพัด “คนไร้เส้นสาย” แตกกระจายหายเกลี้ยง
อย่าบอกเป็นตำรวจต้องทำได้ทุกหน้าที่
อย่าบอกว่า “ถ้าไม่ดีรับไม่ได้ ไม่พอใจก็ลาออกไป” ประโยคเหล่านี้ช่างเจ็บปวดนัก !!!