วงการนี้อยู่ยาก

ไม่รู้ใครเขียน (อีกแล้ว) แต่โดนใจ

ต้องขออนุญาตมาเผยแพร่ส่งต่อ

ว่าด้วยเรื่อง “ตำรวจ… อาชีพที่เหมาะต่อการบรรลุธรรม”

คนที่ประกอบอาชีพตำรวจ ไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม คงรู้เป็นอย่างดีว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ไม่ง่าย หรือหากใช้ภาษาในแวดวงดาราอาจจะออกแนว “วงการนี้อยู่ยาก”

ความยาก หรือไม่ง่ายของการเป็นตำรวจ เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาทำงาน หากเจอเจ้านาย ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานดีถือว่าโชคดีไป แต่หลายคนไม่ได้โชคดีอย่างนั้น

บางคนเจอเจ้านายที่ไม่ถนัดในการทำงาน แต่ถนัดในการหาผลประโยชน์ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ลูกน้อง หากใครเจอแบบนี้  ถือว่า โชคไม่ดีชั้นแรก

นอกจากเรื่องเพื่อนร่วมงานแล้ว ปัญหาในการทำงานของตำรวจอีกประการหนึ่งก็คือ “ต้องลงทุน” ทั้งลงทุนในการซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำงาน และซื้อ

เอิ่ม…อย่างอื่น

นอกจากนั้นยังต้องคอย แก่งแย่งแข่งขัน “ชิงรักหักสวาท” กันเองอย่างเมามัน เพื่อความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการ

คำว่า “เจริญก้าวหน้า” ขออนุญาต หมายความรวมทั้งการ เลื่อนตำแหน่งและการได้รับราชการในพื้นที่ที่มีผลประโยชน์

แก่งแย่งกันทั้งชีวิต ตั้งแต่เริ่มรับราชการจนเกษียณอายุราชการ ด้วยวิธีการที่ทำให้ตัวเองเจริญก้าวหน้าอย่างหลากหลายวิธี ไม่จำกัดรูปแบบ และความละอายของใจ เป็นอะไรที่น่าศึกษามากๆ หากมีใครสักคนคิดที่จะทำวิจัยในเรื่องนี้

ตำรวจบางคนเกษียณอายุราชการไปแล้ว ไม่กล้าเดินกลับมาที่ทำงาน เพราะกลัวจะไม่มีใครยกมือไหว้ หรือไม่ก็รับไม่ได้กับ “หัวโขน” ที่ถูกถอดออกไป เพราะเมื่อเกษียณอายุแล้ว อำนาจวาสนาบารมีก็หดหายไป เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ

แต่ยังมีบางคนที่ยังทำใจไม่ได้ และไม่ยอมปล่อยวาง

หากพิจารณาให้ดีๆ แล้ว การที่ใครได้มีโอกาสเป็นตำรวจนั้น ต้องถือว่าเป็นโชคดีอย่างสุดยอดของชีวิตเพราะคุณจะมีโอกาสได้เรียนรู้ หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และมีโอกาสเข้าถึงธรรมะได้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งกว่าอาชีพอื่นๆ

การเป็นตำรวจจะทำให้คุณมีโอกาส

1.รู้ระดับความโลภ โกรธ หลงของตัวเอง คุณจะได้รู้จักตัวเองว่า คุณมีความ “อยากได้ อยากมี อยากเป็น” มากแค่ไหนเวลาที่คุณผิดหวังไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง เวลามีใครมาแย่งตำแหน่งของคุณ เวลามีใครมาใส่ร้ายป้ายสีคุณเพื่อ “เตะคุณออกจากตำแหน่ง” คุณสามารถระงับความโกรธได้หรือไม่ หรือโกรธนานแค่ไหน

เวลาที่คุณอยู่ในตำแหน่งที่มีผลประโยชน์ มีคนห้อมล้อมเอาใจ คุณยังมีความยินดีปรีดาและติดอยู่ในสิ่งยั่วยวนเหล่านี้มากน้อยเพียงใด

2.ได้รู้จักสัจธรรมของชีวิตในเรื่อง “มียศ เสื่อมยศ มีลาภ เสื่อมลาภ” เพราะเวลาที่คุณอยู่ในราชการ กับตอนที่คุณพ้นจากราชการไปแล้ว มันเป็นคนละเรื่องกันเลย ผู้คนหรือลูกน้องที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังจะหายไปคนที่เคยโทรมาคุย คนที่เคยเอาอะไรมาให้ หรือแม้กระทั่งคนที่เคยยกมือไหว้ จะลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย และการหายไม่ใช่ค่อยๆ หาย แต่เป็นการหายวับไปกับตา

คุณจะทำใจได้หรือเปล่า

3.ได้พบกับความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง รวมถึงตำแหน่งหน้าที่ราชการของคุณด้วย ตำแหน่งที่คุณอยู่ไม่ว่าจะดีแค่ไหน ยิ่งใหญ่เพียงใด คุณก็ไม่มีโอกาสได้อยู่ ในตำแหน่งนั้นตลอดไป ต้องมีคนหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนมาครอบครองทดแทนอยู่เสมอ คุณเป็นเพียงคนที่ผ่านมา  “แล้วก็ผ่านไป” ต่างแต่เพียงว่าจะผ่านไปอย่าง ให้คนเขาสรรเสริญ ชื่นชม หรือผ่านไปอย่างคนที่ไม่มี อะไรน่าจดจำ แถมเวลานึกถึงทีไร ก็ขนลุกขนพองด้วยความรังเกียจทุกครั้ง

ตำรวจคนใดที่อาศัยโอกาส ดังกล่าวนี้ พัฒนาจิตใจของตนเองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ในที่สุดแล้วก็จะทำให้ตำรวจคนนั้นพ้นทุกข์ พ้นร้อน พ้นเวร พ้นกรรมไปอย่างที่คนอาชีพอื่นๆ ต้องเฝ้ามองด้วยความอิจฉาแต่ถ้าตำรวจคนใดที่ยังคิดไม่ได้ ก็ขอให้รีบ “ตื่นรู้” เสียตั้งแต่บัดนี้ เพื่ออนาคตที่สดใสของท่านทั้งในชาตินี้

ชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป

บทความนี้เขียนเนื่องในโอกาสที่วาระการแต่งตั้งประจำปีของตำรวจกำลังจะเสร็จสิ้นลง คาดว่าจะมีทั้งคนที่สมหวังและผิดหวัง

ใครที่สมหวัง ก็ขอแสดงความยินดีที่ท่านจะได้พบกับความไม่เที่ยงแท้ในตำแหน่งใหม่ของท่านในไม่ช้าส่วนใครที่ผิดหวัง ก็ถือเสียว่าเป็นการฝึกจิตของตัวเองให้ชินกับความทุกข์หรือช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ทุกข์เสียให้มากๆ ทุกข์เสียให้เบื่อ ทุกข์เสียให้เข็ด

ถ้ายังไม่เบื่อ ก็ทุกข์ต่อไป

แต่ถ้าเริ่มเบื่อเมื่อไหร่ อะไรในชีวิตจะดีขึ้นเอง

แล้วคุณจะรู้ว่าการเป็นตำรวจได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

RELATED ARTICLES