“ชีวิตผม มันรักงานนักสืบ”

เป็นลูกคนสุดท้องในตระกูลอดีตพ่อเมืองสุพรรณบุรี

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ มีเพียร น้องชาย พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และเจตนา มีเพียร อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เกิดที่สุพรรณบุรี จบมัธยมปลายโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ต่อปริญาตรีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ควบคู่กับการทำหน้าที่พลตำรวจสังกัดหน่วยสันติบาล

เทียบวุฒิการศึกษาติดยศ ร.ต.ต.ตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กองกำกับการ 6 กองปราบปราม ขึ้นเป็นสารวัตรทะเบียนประวัติจัดกำลังพล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแล้วย้ายเข้านครบาลเป็นสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี สารวัตรจราจร และสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลดุสิต ขึ้นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้

ข้ามเป็นผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กลับกรุงมานั่งเก้าอี้รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ติดยศ “นายพล” ตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจดับเพลิง ย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง เป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 และผู้บังคับการตำรวจจราจร ก่อนเกษียณอายุราชการเพียง 5 เดือนในปี 2551

เขาเลือกที่จะมาเป็นตำรวจ เพราะใจมันชอบบู๊แต่เด็ก แม้จะสอบนายร้อยไม่ติด เพราะช่วงชีวิตวัยรุ่นค่อนข้างเกเร แต่ยังดั้นด้นไปสมัครพลตำรวจสันติบาลที่เวลานั้น กรมตำรวจเปิดรับภายใน กระทั่งก้าวเข้าสู่ยุทธจักรสีกากี มีชื่อชั้นเทียบอยู่ในตำนานนักสืบมือปราบคนหนึ่งของวงการตำรวจ

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์บอกว่า เริ่มงานนักสืบมาตั้งแต่อยู่กองปราบปราม  มี พ.ต.อ.ม.ล.เติม สนิทวงศ์ คอยเป็นพี่เลี้ยงสอนวิชาจนได้เข้าไปอยู่ในชุดปราบปรามมือปืนเมืองเพชรบุรี ปราบปรามผู้มีอิทธิพลภาคตะวันออก สะสมประสบการณ์เรื่อยมา เมื่อขึ้นเป็นสารวัตรป้องกันปราบปรามจึงมีโอกาสพิสูจน์ฝีมือด้วยตัวเอง

“ใจมันชอบอยู่แล้ว พอมีคดีอะไร เราก็ไปดูตลอด ช่วงนั้นบางเขนคดีอาชญากรรมเยอะมาก ท่านวิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้ผมไปแก้ไขปัญหา บอก ติ่ง เอ็งต้องมาอยู่ตรงนี้ ผมบอกแล้วแต่ท่าน แต่ขอผมเลือกคนเอง ผมดึงวีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ รุ่นน้องมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่รู้ฝีไม้ลายมือเป็นอย่างดี ไปเป็นสารวัตรสืบสวน พร้อมเอาสุพิศาล ภักดีนฤนาท ไปเป็นสารวัตรป้องกันปราบปราม”

จากที่เคยมีคดีโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ คนร้ายปล้นเครื่องจักรอุปกรณ์ในสนามกอล์ฟ ลักทรัพย์ตามบ้าน ชิงทรัพย์ตามท้องถนน ทีมงานของสารวัตรติ่ง-ภาณุรัตน์ มีเพียร จัดการได้อย่างเด็ดขาด คดีอุกฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นในท้องทุ่งบางเขนลดฮวบทันตาเห็น “ทีมงานของผมจับเป็นจับตายไปหลายศพ สมัยนั้นเป็นโรงพักเดียวที่กล้าทำวิสามัญฆาตกรรม เพราะส่วนใหญ่จะเป็นงานของกองสืบสวนมากกว่า รถหายตรงไหน ผมวิตรงนั้น ได้ผลดีมาก” พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ย้อนความหลัง

นายพลมือปราบเผยความสำเร็จของการทำงานว่า ต้องเริ่มจากการประสานงานกัน  กองสืบต้องประสานโรงพักและหน่วยข้างเคียง ถ้าไม่ประสาน งานจะไม่สำเร็จ คดีที่สำเร็จได้เพราะจากเพื่อนร่วมงาน พี่น้อง หน่วยข้างเคียง สำคัญมาก “ผมเลยกลายเป็นคนพวกเยอะ ทำให้เรากว้าง เนื่องจากเรามีความจริงใจให้เขา ให้ความเป็นธรรม ยุติธรรม ไม่รังแกคน ช่วยคนถูกรังแก หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม คือสิ่งที่ผมทำมาตั้งแต่ต้น อยู่ที่หัวใจ สำคัญที่สุด”

ตอนย้ายไปอยู่แม่สาย พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ยอมรับว่า ระบบงานของตำรวจภูธรกับตำรวจนครบาล ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อไปอยู่ก็ไม่ใช่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ต้องทำให้เขาเห็น ออกเอง ทำอะไรเอง ที่ไหนคนกลัวอิทธิพล ไม่กล้าไป เราไปคนเดียว ขับรถขึ้นไปพกปืนคู่กาย มีเหตุอะไรเราถึง กลางวัน กลางคืน ตีหนึ่ง ตีสอง เราถึงก่อน ลูกน้องก็งงมาก ที่ทำไมไปที่ไหนก็เจอผู้กำกับ พวกเขาเริ่มให้ใจ ไว้ใจในการทำงาน แก้ภาพพจน์ตำรวจที่นั่นได้มาก

“ที่แม่สาย เต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพล และยาเสพติด การเงินล่อใจตำรวจ เพราะพวกนั้นมีเงินเยอะ ผมต้องไปปรับ เดิมที่ผู้ใต้บังคับบัญชามาดูแลนาย พอผมไปก็บอกไม่ต้อง เรียกประชุมผัวเสร็จ ประชุมเมียต่อ สอนให้เขาทำทุกอย่าง ดูแลเขาอย่างดี วางแผนการตรวจ วิธีการทำงาน การตั้งวงในการก้าวสกัดจับ มีเหตุจับได้หมด ลูกน้องมีกำลังใจ ยาเสพติดก็จับได้ ชิงทรัพย์ธนาคารก็ได้ มีวิสามัญฯ สอนวิธีการทุกอย่าง เขาก็แฮปปี้ มีสวัสดิการ ชี้ในทางที่ถูกต้อง”

“บางครั้งที่เคยทำมาผิด ผมก็มาแก้ไข ปรับเขา อาจละเว้นบ้างในหน้าที่ แต่ให้ใบเหลือง เหมือนเล่นฟุตบอล ครั้งต่อไป ใบแดงนะ ทุกคนก็จะแก้ตัวเดินทางใหม่ มีอยู่คนเดียว ที่ตอนนี้ออกหมายจับไว้ ไม่แก้ตัว ขู่เจอเมื่อไหร่จะยิงผม ผมก็ประกาศเหมือนกัน ถ้ากูเจอมึง มึงก็ตาย  เพราะเขาพัวพันยาเสพติด ช่วยไปครั้งหนึ่งแล้ว บอกให้พอ แต่มันยังทำอีก เมื่อทำต่อก็ช่วยอะไรไม่ได้” อดีตผู้กำกับโรงพักแม่สายบอก

เช่นเดียวกับสมัยย้ายไปเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง ถิ่นที่ถือว่าเต็มไปด้วยนักการเมืองระดับชาติและนักการเมืองท้องถิ่นทรงอิทธิพลแห่งหนึ่งของเมืองไทย พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ อาศัยความเป็นใจนักเลงเข้าไปกำราบสยบราบคาบ “พอผมไปถึง ผมเรียกทุกคนเข้ามาคุย บอก อดีตผมไม่สนใจ สนใจปัจจุบัน ถ้าไม่เลิกก็อยู่กันไม่ได้ ทุกคนยอมหมด มีอยู่คน อยู่กับผู้ใหญ่ วันนึงยิงปืนเพราะทะเลาะกันเอง ผมสั่งดำเนินคดีเต็มที่ วันหลังมันต้องเข้ามากราบขอโทษ ไม่ทำแล้วครับ ทั้งที่ผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองมาเคลียร์ก่อนหน้า ผมก็ไม่ยอม”

ตำนานนักสืบเมืองกรุงมีมุมมองถึงตำรวจสืบสวนรุ่นน้องด้วยว่า จริง ๆ พันธุ์นักสืบแทบจะหมดไปแล้ว ที่มีอยู่ก็เหลือน้อยเต็มที หัวใจของตำรวจสืบสวน เมื่อมีคดีเกิดต้องจับให้ได้ เพื่อให้ประชาชนผู้เสียหายอบอุ่นใจว่า มีตำรวจช่วยได้ พวกเราต้องเห็นพ้องกันต้องช่วยกันทำงานจริง ๆ อย่าแบ่งฝ่ายสืบสวน ปราบปราม สอบสวน จราจรก็ช่วยได้ ไม่ใช่เกี่ยงงาน เมื่อได้ข้อมูลข่าวสารจากข่าวขยะมากรองกระทั่งแน่ชัด ทำให้เราสามารถมีหลักฐานในการจับกุม

“ทุกคนต้องให้ความร่วมมือกัน อย่าไปปกปิด เพราะกลัวว่าไอ้คนนี้จะได้หน้า อย่าไปคิดอย่างนั้นเด็ดขาด พวกเราถ้าเป็นนักสืบแท้ ทำงานเสร็จกลับเลย ไม่ได้สนใจจะมาโชว์ มีความสุขแล้วที่สามารถคลี่คลายคดีนี้ได้ ตามจับได้ ไม่ได้หวังจะไปเอาสตางค์เขา บางทีผู้เสียหายให้มา เราก็บอกขอบคุณ แต่ผมรับไม่ได้ เพราะคุณเสียมาเยอะแล้ว พวกผมมีเงินเดือน สมัยก่อนเราทำกันแบบนั้นจริง ๆ มันเป็นหน้าที่”

“ชีวิตผม มันรักงานนักสืบ แม้ตอนลงไปช่วยภาคใต้ ผมเสนอให้ท่านธานี สมบูรณ์ทรัพย์เอาพวกรองสารวัตรที่ผ่านหลักสูตรอบรมโรงเรียนนักสืบไปช่วยทำงานร่วมกัน กับชั้นประทวนในพื้นที่ อีกหน่อยเขาก็จะรู้จักกันหมด ไปอำเภอนี่ จังหวัดนี้รู้จักกันแล้ว สามารถประสานกันได้ทั่วประเทศ ถ้าร่วมกันอย่างนี้ได้คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงตำรวจ เครือข่ายตำรวจมีอยู่เต็มไปหมด คนร้ายมันจะหนีไปไหน ที่สำคัญต้องไม่ปกปิดข่าวกัน แต่ต้องดูคดีสำคัญขนาดไหน ให้ได้อย่างไร ต้องมีชั้นความลับ” อดีตตำรวจนักสืบพันธุ์แท้ระบายความรู้สึก

 “ฝากไว้อีกอย่าง คือปัจจุบันที่ทำให้เราทำงานยากขึ้น คือการไปเปิดเผยแนวทางวิธีการทำงานของนักสืบ เปิดจนหมดทุกอย่าง บางครั้งสื่อมวลชนต้องเข้าใจ เพราะโจรต้องป้องกัน เราต้องหาวิธีการใหม่ทำ ปัจจุบันยากขึ้นเรื่อย ๆ โจรเรียนรู้จากข่าว บอกคนร้ายปิดหน้า บังเอิญนุ่งกางเกงขาสามส่วน มีปานตรงนั้น ตรงนี้ เลยตามจับได้  คิดดูล่ะกันว่า อีกหน่อยมันก็ป้องกันเอกลักษณ์ของมัน พวกนี้ไม่ควรไปพูด แค่อธิบายว่า โชคดีเห็นรูปจากกล้องวงจรปิด ไม่ต้องลงลึกในรายละเอียดว่า เราได้มาอย่างไร  ส่วนที่เป็นหัวใจต้องเก็บไว้ ไม่ให้คนร้ายลอกเลียนแบบ”

อดีตนักสืบมือปราบชื่อดังย้ำทิ้งท้ายด้วยว่า นักสืบต้องทำงานด้วยใจอดทน ตื้อ ถึงจะสำเร็จ ต้องฟังหลาย ๆ หู อย่าฟังหูเดียว หรือสองหูมาตัดสิน ต้องเอาข่าวขยะมากรองให้แน่ชัด ถึงทำอะไรไป ความผิดพลาดจะน้อย ไม่เสี่ยงเกิดผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ผู้บังคับบัญชาควรให้ความสำคัญด้วย “ในการทำงานของตำรวจ งานป้องกันก็สำคัญ แต่เมื่อเกิดแล้วก็ต้องจับให้ได้ ต้องรวมกันหลายฝ่าย ผมอยากฝากประชาชนไว้ในหัวใจตำรวจนักสืบด้วย หากทำกันจริง ๆ เชื่อว่า ต้นทุนทางสังคมตำรวจจะดีขึ้น ถ้าเราทำให้เขาด้วยความจริงใจ”

ภาณุรัตน์ มีเพียร !!!

RELATED ARTICLES