นับหนึ่งปฏิรูปตำรวจให้ตรงจุด หรือปล่อยให้พัง
พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ หัวหอกระดมพลังมันสมองเพื่อ “ผ่าตัดใหญ่” องค์กรเก่าร่วมกับภาคเครือข่าย
นัดแถลงข่าว “ปฏิรูปตำรวจ โดยตำรวจ และประชาชน”
วันนี้ – วันพฤหัสบดี ที่ 16 พฤษภาคม 2567 เปลี่ยนสถานที่เดิมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาใช้โรงแรมโนโวเทลกรุงเทพ สยามสแควร์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องระหว่างรับราชการอยู่ เสมือน “เผือกร้อน” อาจลวกมือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้นำขัดตาทัพเจ้าของชั่วคราวในการรับผิดชอบสำนักปทุมวัน
พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ ได้แนวร่วมสนับสนุน “การบ้านชิ้นโต” อย่าง พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นพี่ ในฐานะประธานชมรมพนักงานสอบสวน พร้อมด้วย พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษาชมรมพนักงานสอบสวน รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา กรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ก่อตั้ง สำนักวิจัย Superpoll และนายยิ่งชีพ อัชฌาสัย ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw
หลังจากรวบรวมข้อมูลข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุแล้วเสนอแนวคิดมา
แบ่งเป็น ปัจจุบันกำลังตำรวจไม่เหมาะสมกับปริมาณงาน แต่อัตรากำลังที่กำหนดไว้แต่ละโรงพักทั่วประเทศยังเป็นของเดิม ทั้งที่ปัจจุบันสภาพปัญหาและปริมาณงานเปลี่ยนไปมาก
ขอเสนอว่า กองอัตรา/กำลังพล ต้องมีการจัดทำอัตรากำลังทุกสายงานใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาอาชญากรรมและปริมาณงานจริงๆ
การแต่งตั้งกำลังพลให้สอดคล้องกับอัตราที่กำหนดใหม่ โดยเฉพาะสายงานสอบสวน
ค่าสาธารณูปโภค ไฟฟ้า/น้ำ ต้องประหยัดและควบคุมการใช้ ทุกวันนี้ใช้เกินมาก เพราะไม่ควบคุมวิธีการแก้ไข เอาเงินหมวดค่าใช้สอย เช่นเบี้ยเลี้ยง เงินล่วงเวลา มาจ่ายค่าสาธารณูปโภคแทน ทำให้ตำรวจที่ทำงานจริงไม่ได้เบี้ยเลี้ยง และหน่วยก็ไม่ได้จ่ายเบี้ยเลี้ยงตามที่ทำงานจริงๆ จะใช้วิธีเฉลี่ยเท่าๆ กัน เพราะง่ายดีและเท่ากัน
ทำให้คนทำงานจริงๆ ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ส่วน หัวหน้าหน่วยไม่จัดงบประมาณให้ถูกต้อง โปร่งใส เช่นเงินกองทุนสืบสวน ได้ตามขนาดโรงพัก ปริมาณคดี 90,000-200,000 บาท แต่ความจริงก็ไปแบ่งกันในระดับ ผู้กำกับ /รองผู้กำกับ /สารวัตร ไม่ค่อยถึงลูกน้องคนทำงาน และเงินหมวดค่าใช้สอย ห้ามหน่วยเหนือหักไว้
ปัจจุบันมีกฎหมายให้ท้องถิ่น สามารถอุดหนุนงบประมาณด้านความสงบเรียบร้อย อาชญากรรม ยาเสพติดได้ แต่ไม่ได้กำหนดชัดเจน ให้ตำรวจทำความตกลงกับท้องถิ่นเอง ถ้าเป็นไปได้น่าจะทำ MOU กับกระทรวงมหาดไทย ให้ชัดเจนว่าต้องอุดหนุนงบประมาณไม่น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณและใช้ด้านใดบ้าง จัดทำโครงการ แผนงานประกอบให้ชัดเจน
ต้องกระจายอำนาจให้ระดับกองบัญชาการ/กองบังคับการมากขึ้น สำนักงานส่งกำลังบำรุง ดูภาพรวม/จัดซื้อเฉพาะงานใหญ่ๆ เพราะที่ผ่านมาบางกองบัญชาการ/กองบังคับการไม่ต้องการ เช่น รถจักรยานยนต์ CBR 300 ส่งให้นครบาลจอดเต็มโรงพัก สายตรวจไม่ใช้ เพราะมันใหญ่ไม่คล่องตัว และไม่คืนเนื่องจากเบิกน้ำมันอยู่
ปรับปรุงเงินค่าทำสำนวนปัจจุบันได้เฉพาะคดีที่เกินศาลแขวง และได้เฉพาะมีตัวผู้ต้องหา อุกฉกรรจ์จับได้ 1,500 อาญาทั่วไปจับได้ 1,000 แต่จับไม่ได้ ออกหมายจับได้ครึ่งหนึ่ง ควรเพิ่มจับได้เป็น 2,500 /2,000 และควรเพิ่มคดีไม่รู้ตัวด้วย คดีศาลแขวง ควรให้ค่าทำสำนวนด้วยเช่น คดียักยอก ฉ้อโกง คดีพวกนี้บางคดีพยานมาก เอกสารมาก เสียเวลาทำสำนวนมาก
ปรับปรุงการจ่ายเงินค่าพยานในคดีให้เหมือนศาล รวดเร็ว ทันที ส่วนของตำรวจมีขั้นตอนมาก ยุ่งยาก ไม่มีเงินสด จ่ายเช็ค ทำให้พยานมักไม่ได้เงิน ไม่อยากมาเป็นพยาน เพราะเสียเวลาทำกิน
เป็นเพียง “ปลีกย่อย”ต้องการให้ “หมอตัวจริง” วินิจฉัยรักษาให้ถูกโรค
แต่มักไม่ถูกโฉลกกับอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง