สะท้อนวิกฤติ “ตาชั่ง” ขาดความเที่ยงธรรม ทั้งเป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่กวาดบ้านเอาผิดข้าราชการทุจริตปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
แต่กลับสร้างหมากกลไม่ชอบเสียเอง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อขอทราบความคืบหน้ากรณีที่ได้ยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติมให้มีการสอบเพิ่ม
ในคดีที่ถูกตัวเองแจ้งข้อกล่าวหากรณีการจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ 260 คัน วงเงิน 900 ล้านบาทปีงบประมาณ 2561-2562
มองเป็นขบวนการที่ตั้งธงเอาไว้ก่อนแล้ว
หลังจากความเชื่อมโยงกับกรณีที่พนักงานสอบสวนค้นบ้านของพ่อบ้านนายตำรวจนอกราชการคนหนึ่ง เจอเอกสารในคอมพิวเตอร์ระบุไว้ชัดเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นกับเขา ตรงกับที่สันนิษฐานไว้แต่แรกว่า มีกระบวนการ “เตะตัดขา” ทำลายเครดิต
เล็งเป้าสงสัยหัวโจกทั้งหมด 3 คน คือ ตำรวจนอกราชการ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และพ.ต.ท.คนหนึ่งที่เป็นพ่อบ้าน และยังมีทนายคนดังอีกหนึ่งคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ทั้งหมดร่วมกันทำหนังสือร้องเรียน “กลั่นแกล้ง” ด้วยเจตนาที่ไม่โปร่งใส
อยากให้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ทั้งชุด และพร้อมมาชี้แจงด้วยตัวเอง หลังจากที่ผ่านมาชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะเชื่อว่า เอกสารที่ส่งไปคณะกรรมการไต่สวนไม่ได้อ่าน ถึงต้องการชี้แจงให้เกิดความชัดเจน
อดีตเจ้าสำนักปทุมวันรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหลังเกษียณอายุราชการแล้ว ทั้งที่เคยมีผลงานสำคัญมามากมาย
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับครั้งนี้เหมือนจะเอากันให้ตายไปข้างหนึ่ง มีนายตำรวจคนหนึ่งพูดในกลุ่มด้วยว่า จะเอาไอ้แป๊ะติดคุกให้ได้ ทั้งที่เคยรับราชการด้วยกันมา” พล.ต.อ.จักรทิพย์ว่า
เจ้าตัวย้อนอดีตฝากถึงนายตำรวจรุ่นน้องที่เคยรักว่า ตั้งแต่รับราชการมาเป็นคู่ขัดแย้งกัน แล้วจะให้ทำกันอย่างไร จะไปหาความเป็นธรรมที่ไหน ถามว่า นายตำรวจนอกราชการคนนี้ เก่งไหม ฉลาดไหม เก่ง “ ถึงได้เอามาใช้ตั้งแต่ พ.ต.ท.อยู่กับผม เลี้ยงอย่างกับน้อง เงินเดือนยังหาให้ ผมไม่ได้ทวงบุญคุณ ผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ก็ตามไปอยู่ที่หาดใหญ่”
พล.ต.อ.จักรทิพย์เอ่ยขอโทษน้องๆ ที่ยังรับราชการอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้นายตำรวจคู่ขัดแย้งเจริญเติบโต ก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ “ผมขอโทษน้องๆ จริงๆ ที่ยังรับราชการอยู่ ผมไม่ได้บอกว่า ผมดูคนผิดไป แต่ผมแค่เสียใจว่าสิ่งที่เราทำมา มันเป็นอย่างนี้”
ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริง ถ้าเวรกรรมมีจริง
“คนที่รังแกผม ต้องได้รับโทษ ถ้าไม่ได้รับโทษ ผมถือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เวรกรรม ไม่มีจริง ผมจะถอดสร้อยคอของผมให้ผู้สื่อข่าวไปเลย แล้วผมจะเลิกนับถือเลย ผมจะเลิกสวดมนต์เลย” นายพลวัยเกษียณใส่อารมณ์ขุ่น
ระบุด้วยว่า คนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติย่อมรู้ดี และจะเห็นได้ว่า นายตำรวจคนนี้ไปที่องค์กรไหนก็วุ่นวายที่นั่น
มีพฤติกรรมหน้าอย่างหลังอย่างครั้งแล้วครั้งเล่า