พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสําคัญ ดังนี้
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ4กองบังคับการสืบสวนตรวจคนเข้าเมือง ได้สืบสวนทราบว่า มีหญิงชาวจีนลักลอบเข้ามาในประเทศไทย และไปพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียมย่าน ถ.พัทยาสาย 2 อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้นํากําลังไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงจึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง โดยหญิงรายดังกล่าวแจ้งว่าตนเองชื่อ MS.HU (นามสมมติ) อายุ 24 ปี สัญชาติจีน หนังสือเดินทางสูญหาย จึงได้เชิญตัวหญิงรายดังกล่าวไปที่ ตม.จว.ชลบุรี เพ่ือทําการตรวจสอบลายน้ิวมือ ในระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (BIOMETRICS) ผลการตรวจสอบไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจประจําสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจําประเทศไทย รับแจ้งว่า MS.HU เป็นบุคคลท่ีมีประวัติกระทําความผิด ในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” ในลักษณะ แชร์ลูกโซ่ โดยมีการหลอกระดมทุนเพื่อเข้าไปซื้อหุ้นของแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ bixin (ปี๋ซิน) มีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 150 ล้านบาท สอบสวน MS.HU ให้การรับว่าได้ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ บริเวณสามเหลี่ยมทองคํา เขตติดต่อ จว.เชียงราย ก่อนนำตัวส่ง สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ดำเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและ อยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและผลักดันส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวต่อว่า คดีที่สอง เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ4กองบังคับการสืบสวนตรวจคนเข้าเมือง จับกุม. MR.HAN (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ และ MR.KIM (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด สถานท่ีจับกุม ริมถนน 1366 ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สืบเนื่องจาก กก.4 บก.สส.สตม. สืบสวนทราบว่ามีบริษัทนำเที่ยวหลายบริษัทเปิดรับสมัครไกด์นําเที่ยวที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจำนวนมาก ทําหน้าที่ดูแลลูกค้าเฉพาะกลุ่ม กระทั่งชุดจับกุมสืบสวนพบว่า มีบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ 2 ราย ทำหน้าที่เป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ในจังหวัดเชียงใหม่ กระทั่งพบ MR.HAN และ MR.KIM ขณะเดินอยู่ริมถนน ต.ช้างเผือก อ.เมือง เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จึงเข้าตรวจสอบจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองได้ดังกล่าว จากการตรวจสอบประวัติของ MR.HAN และ MR.KIM กับเจ้าหน้าที่ตํารวจสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ประจําประเทศไทย พบว่า เป็นผู้กระทําผิดในคดีแชร์รถหรู มีผู้เสียหายกว่า 60 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 109 ล้านบาท สอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ให้การรับสารภาพว่า รับนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่จะเข้ามาเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จากบริษัทนำเที่ยว จะได้ค่าตอบแทนครั้งละ 10,000 – 15,000 บาท ทำมาแล้วประมาณ 2 เดือน โดยจะรับงานผ่านเอเย่นต์ที่เป็นตัวแทนของบริษัทท่องเที่ยว ซึ่งในส่วนนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผล ซึ่งเป็นบริษัทที่มีบุคคลต่างชาติร่วมถือหุ้นกับคนไทยอีกด้วย ก่อนนําตัวส่งพนักงาน สถานีตำรวจภูธรช้างเผือกดำเนินคดี
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า คดีที่สาม เจ้าหน้าที่กองกำกับการ1กองบังคับการสืบสวนตรวจคนเข้าเมือง จับกุมนายเอ (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา ตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ที่ จ.523/2567 ลง 3 เม.ย.67 ข้อหา ร่วมกันข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลัง ประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ร่วมกันพาบุคคลอื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยใช้อํานาจครอบงําผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ร่วมกันหน่วงเหนียวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทํา ด้วยประการใด ๆ ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทํา ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือโดยใช้กําลัง ประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้น หรือจํายอมต่อสิ่งนั้น นําตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี ดําเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับ หน้าโรงงานในพื้นที่ ต.บางน้ําจืด อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร ขณะที่ผู้เสียหายกําลังวีดีโอคอลคุยกับ เพื่อนและทําอาหารรอสามีกลับมาในห้องเกิดเหตุพื้นที่แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ได้มีนายจ่อ (ถูกจับกุมแล้ว) ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของผู้เสียหาย นายลิน (หลบหนี) และนายตอ (หลบหนี) บุกเข้าไปในห้องเกิดเหตุ โดยนายจ่อ และนายลิน ได้ฉุดลากผู้เสียหายไปขึ้นรถยนต์ ส่วนนายตอ ได้รื้อค้นทรัพย์สินของผู้เสียหาย หลังจากนั้นได้พาผู้เสียหายไปไว้ที่ห้องพักแห่งหนึ่ง ถ.เอกชัย – กรุงเทพฯ อ.เมืองสมุทรสาคร จากนั้นนายเอมิน ที่รออยู่ห้องพักข้างๆ พร้อมตะโกนออกมาจากห้องว่า หากมีใครมาช่วยจะฆ่าให้ตาย โดยเอามีดมาจี้บังคับผู้เสียหายตลอด ก่อนที่นายจ่อ พ่อเลี้ยง จะลงมือข่มขืนผู้เสียหายจนสําเร็จความใคร่ เมื่อผู้เสียหายหนีออกมาได้จึงแจ้งความดําเนินคดีกับคนร้ายทั้ง 4 คน จนกระทั่ง ทราบว่านายเอมินได้หลบหนีคดีไปพักอาศัยอยู่ในในพื้นที่ ต.บางน้ําจืด อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร จึงได้ไปติดตามจับกุมนําตัวส่งพนักงานสอบสวนดําเนินคดีต่อไป
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนคดีสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนตรวจคนเข้าเมือง ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายลับโดยสงสัยว่านายมิโยชิ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี สัญชาติญี่ปุ่น อาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงเข้าตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า การอนุญาต ให้อยู่ในประเทศไทยของนายมิโยชิได้สิ้นสุดแล้ว (OVERSTAY) พร้อมทั้งได้ประสานงานไปยังสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจําประเทศไทย เพื่อขอตรวจสอบประวัติของนายมิโยชิ รับแจ้งว่า นายมิโยชิ ได้กระทําความผิดในประเทศญี่ปุ่น ในคดีโจรกรรมและบุกรุกในพื้นที่ 5 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น รวม 111 คดี มูลค่า ความเสียหายรวม 13,000,000 เยน (ประมาณ 3 ล้านบาท) โดยมีพฤติการณ์เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรกรรมและเป็นหัวหน้า แก๊งมอเตอร์ไซด์นางาโทโมะ จากการสืบสวนพบข้อมูลว่านายมิโยชิ เข้าพักอาศัยในโรงแรมหรูในเขตวัฒนา เขตคลองเตย กรุงเทพฯ และมีข้อมูลว่านายมิโยชิ จะลักลอบเดินทางออกไปยังประเทศกัมพูชาทางชายแดนด้าน จ.สระแก้ว จึงได้นํากําลังไปสกัดกั้นตามแนวชายแดนแต่ไม่พบตัว กระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทราบว่า นายมิโยชิ ได้หลบไปพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง เขตประเวศ กรุงเทพฯ จึงนํากําลังไปจับกุมนําตัวได้ดังกล่าว ส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดําเนินคดี และจะได้ดําเนินการส่ง นายมิโยชิกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นต่อไป