คร่ำหวอดทำงานอยู่ในพื้นที่เมืองมือปืนจังหวัดเพชรบุรีตั้งแต่เป็นตำรวจลูกแถว
ทั้งที่ พ.ต.อ.นนทวัฒน์ ปานแก้ว อดีตรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี เดิมชื่อ “นุกูล” บ้านเดิมอยู่ทุ่งลุง ตำบลตะพง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นลูกชายคนโตครูเก่าที่ลาออกมาทำสวนยาง ก่อนเล่นการเมืองท้องถิ่นตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แต่เกิดปัญหาขัดแย้งโดนยิงตาย กลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อตั้งแต่วัยเพียง 10 ขวบ
ขณะนั้นเรียนอยู่โรงเรียนมหาวชิราวุธ พออายุ 15 ชีวิตพลิกผันไปหาซื้อปืนไทยประดิษฐ์ราคา 200 บาท เตรียมมุ่งหน้าสู่สายนักเลงเต็มตัวเลิกเรียนหนังสือคิดล้างแค้นให้พ่อ ท่ามกลางหมู่เพื่อนที่เป็นนักเลงหัวไม้ ดีที่แม่เป็นห่วงอนาคตมองว่า ปล่อยให้ลูกชายเดินทางนี้โอกาสตายมีมากกว่าอยู่ถึงเป็นแรงผลักดันให้เขาสมัครสอบเข้าโรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา
เจ้าตัวย้อนอดีตว่า ช่วงนั้นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เยอะ เตียงที่อบรมข้าง ๆ ยังไม่ทันจบถูกส่งออกไปรบโดนกับระเบิดตาย ทำให้มีข่าวว่าจะส่งทั้งรุ่นลงชายแดนหมด เพื่อนมาบอกว่า มีหนังสือสมัครใจให้ไปอยู่ภาคกลาง ด้วยความที่เราขี้เกียจฝึก เพราะไม่ใช่คนแข็งแรง หากไปชายแดนต้องฝึกหนักปรับพื้นฐานใหม่อีก เพื่อนเลยเขียนสมัครใจให้
ทำให้เขามีชื่อลงตำแหน่งลูกแถว สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี มียศแค่ พลสำรองพิเศษ กะว่า 2 ปีขอย้ายกลับบ้าน ทำไปทำมาคลุกคลีตีโมงวนเวียนอยู่ในพื้นที่เมืองขนมหม้อแกงที่เต็มไปด้วยดงมือปืนในอดีตยาวจนเกษียณอายุราชการ “สมัยก่อนมือปืนเมืองเพชรบุรีมีหลายพื้นที่ ยกเว้นเขาย้อยกับบ้านแหลม พวกนี้ขัดแย้งกันก็ยิงกันไปยิงกันมา เป็นพวกนักเลง แต่ไม่ได้เกเร ตอนหลังพวกมีสตางค์ พวกบ่อนการพนัน เจ้าพ่อทั้งหลายอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ชลบุรี นครบาลบ้าง ก็ดึงพรรคพวกไปเป็นมือปืนรับจ้างสังกัดตัวเอง” อดีตรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรีเท้าความ
“ผมอยู่วงการนี้มานาน ต้องสัมผัสพวกนี้ มือปืนจริงๆ ไม่ใช่คนดุนะ เป็นคนนิสัยดี โอบอ้อมอารี บางทีเรียบร้อยอีกต่างหาก พูดจาเพราะ เพียงแต่อาจจะไม่ไว้ใจคนที่ไม่สนิท แต่นิสัยใจคอดี บางทีรับงานยิงไป ได้ค่าจ้างเป็นรถธรรมดาคันเดียว พวกเจ้าพ่อถึงนิยมใช้คนเมืองเพชรบุรี พูดตรงๆ มือปืนเพชรบุรี มันไม่เรื่องมาก ใจถึงด้วย เรียกว่า เป็นคนภักดีกับนาย ใครก็อยากเรียกใช้ แต่จะไม่ยุ่งกับคนพื้นที่ ที่ยิงกันไปยิงกันมา ส่วนมากเป็นเรื่องส่วนตัว พ่อแม่ถูกยิง จำเป็นต้องไปเป็นแบบนั้น”
พ.ต.อ.นันทวัฒน์มองว่า ที่เพชรบุรียุคก่อน กฎหมายไม่สามารถแก้ปัญหาให้ได้ บางสมัย พวกนี้ถ้ารู้ว่า ตำรวจคนไหนของจริง ก็ไม่กล้า เหมือนรองถวิล เปล่งพานิช อยู่ก็หนีกันหมด หรือสมัยผู้กำกับกฤช สังขทรัพย์ ประกาศไม่ให้พ่อค้าเข้าบ้าน ให้ตำรวจทำงานเต็มที่ มีเงินสนับสนุน เป็นแรงจูงใจให้ตำรวจจริงจังกับงาน มีรางวัลเป็นของขวัญตอบแทน เช่น ใครจับปืนเอ็ม 16 จะได้กระบอกละ 1,000 บาท ปืน 11 มิลลิเมตรเถื่อนได้กระบอกละ 500 บาท ทำให้เพชรบุรีปลอดจากคดียิงกัน
เขาเป็นตำรวจชั้นประทวนอยู่อำเภอบ้านลาดนาน 11 ปี ระหว่างนั้นเรียนปริญญามหาวิทยาลัยรามคำแหงไปด้วย ก่อนสอบเป็นนายตำรวจบรรจุตำรวจรองสารวตรอยู่โรงพักท่ายาง เพชรบุรี 2 ปี เมืองเพชรบุรี 2 ปี แล้วย้ายไปอยู่เมืองราชบุรีนาน 6 ปี ขึ้นสารวัตรหัวหน้าโรงพักด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เป็นสารวัตรใหญ่โรงพักสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ได้รับรางวัลปราบปรามอาวุธสงครามดีเด่นจากผลงานจับกุมอาวุธปืน 1,000 กระบอก ได้ 2 ขั้น 2 ปีซ้อน ก่อนโยกคืนถิ่นเป็นรองผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นรองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภออัมผวา จังหวัดสมุทรสงคราม และขึ้นผู้กำกับการที่ท่ายาง ขยับมาเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเพชรบุรี 5 ปี และรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี
ถึงกระนั้นก็ตาม เส้นทางรับราชการของ พ.ต.อ.นันทวัฒน์ ไม่ได้เรียบสวยหรู สมัยหนึ่งไม่ลงรอยกับนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่จากรองผู้กำกับการหัวหน้าโรงพักถึงโดนลดชั้นไปอยู่อัมผวา มีผู้กำกับการคุมอีกชัน เพราะไปจับยาเสพติดลูกน้องนักการใหญ่ในรัฐบาล พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ คุมกองบัญชาการสอบสวนกลางเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงช่วยมาอยู่กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ปีเดียวได้คืนห้วยกลับมาเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองท่ายาง
ประสบการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามมากมาย อดีตรองผู้บังคับการวัย 70 เศษไม่ลืมความประทับใจในคดีสมัยเป็นรองสารวัตรคุมชุดเฉพาะกิจปราบปรามมือปืนอยู่ราชบุรี เกิดเหตุคนร้ายใช้ปืนเอ็ม 16 ปล้นร้านทองห่างโรงพักเมืองราชบุรีแค่ 200 เมตรกลางวันแสก ๆ ตามอยู่ 7 วันสืบสวนได้ข้อมูลส่งให้อีกทีมไปล่าจับตายในเวลาต่อมา
“เป็นคดีอุกอาจมาก ยิงใส่เจ้าของร้าน แต่ไม่โดน หลังจากปล้นร้านทองแล้ว หนีไปทิ้งรถที่หนองหญ้าปล้อง ผมไปค้นละเอียดในรถ มีใบเสร็จร้านท่ายางค้าไม้ที่ผมเคยอยู่ ผมเลยขีดวงเลยว่า คนร้ายรายนี้ต้องมาจากเพชรบุรี คืนนั้นผมเข้าไปหาสายเก่าคนเดียว คุยกันประมาณชั่วโมง กว่าจะกล่อมให้ข้อมูลว่า คนร้ายมายืมปืนเอ็ม 16 ของเขา ผมรีบพาไปหาผู้การราชบุรี รู้ตัวหมดว่า คนที่ปล้นเป็นขาใหญ่ในคุก ชอบเล่นไฮโล จ่ายหนักจนได้มาอยู่กองนอกทำงานข้างนอก เย็นกลับ เส้นดี ถึงวางแผนกันปล้น”
“ ผมเอาหมายจะจับในคุก ปรากฏว่า ก่อนหน้าวันเดียว มันแหกคุกหนี ตำรวจตามไปยิงตายที่เพชรบุรี 1 ศพ มหาชัยอีก 2 ศพ มันเป็นข่าวเราที่แกะมาได้ ประทับใจมาก ปีนั้นได้ 2 ขั้น” พ.ต.อ.นันทวัฒน์บ่งความรู้สึก เขาเล่าอีกว่า ยังมีคดียิงกำนันที่หนีจากเพชรบุรีไปเก็บตัวอยู่ราชบุรี แต่กลุ่มคู่อริตามเจอโดยบังเอิญเลยดักถล่มกันกลางแยก เกิดเหตุไม่ทันไร เรารู้ตัวละครหมดแล้ว เพราะเรารู้ความขัดแย้งมาก่อน “ยุคนั้นมันต้องอาศัยแหล่งข่าวอย่างเดียว ปีนั้นผมบอกเลย 2 คดี คดีดังๆ นะ ข่าวใหญ่ เพราะยิงด้วยเอ็ม 16 อาก้าทั้งนั้นแหละ เกือบเรียกว่าเป็นสงครามเลย”
พันตำรวจเอกเก่าฝีมือดีเมืองเพชรบุรีว่า สมัยนั้นหลายคดีตำรวจสืบสวนเหนือยังมาขอประวัติข้อมูลมือปืนเพชรบุรีที่สงสัยจะเข้าไปก่อเหตุในนครบาล เกิดจากประสบการณ์ หากจะเทียบระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ พูดตรงๆ นะ ยังไงยุคเก่าก็เหนือกว่านะ อย่างน้อยยุคเก่ายังมีคุณธรรมบ้าง คนทำงานที่ประสบความสำเร็จจะต้องผ่านการกลั่นกรองพอสมควร โดยเฉพาะอย่างเพชรบุรี สมัยก่อน คนที่มาเป็นผู้กองเมือง หรือสารวัตรใหญ่เมือง หรือผู้กำกับ หรือผู้การ ต้องคัดประเภทที่ไม่ธรรมดา เป็นที่ยอมรับ เพราะว่ายุคนั้น ไม่ค่อยมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องมาก
“แล้วแต่ก่อน จริงๆ มือไม้ ก็คือจ่า นายสิบ พลตำรวจไม่ต้องมาก อย่างบ้านลาด งานสืบสวนก็มีจ่า 2-3 คน ยกตัวอย่าง จ่าผิน จ่ามี จ่าเจือ จ่าผล หมวดมงคล พวกนี้ทั้งนั้นแหละที่ทำงานให้ ถ้าท่ายาง มีจ่ารอด จ่าขุม จ่าชิ้น จ่าแจ่ม พวกนี้ตำแหน่งเทียบกับสารวัตรสืบสวนยังเก่งกว่าด้วยซ้ำ เขาทำงานให้นายได้ แล้วคนเชื่อถือ เรื่องอื่นเขาไม่มีเท่าไหร่ เขาทำงานให้นาย สมัยนี้เป็นอย่างไรล่ะ แม้แต่ตำแหน่งสารวัตร รองผู้กำกับบางคนก็ซื้อกันเข้ามา แล้วมันจะมีอะไรเหลือ แถมไม่เป็นงาน ก็ต้องใช้พวกจ่า เงินไม่ให้ ใช้อย่างเดียว น้ำมันไม่มี ขั้นก็ไม่ได้ แล้วพวกเขาจะทำหรือ”
มือปราบรุ่นเดอะมองอีกว่า สมัยก่อนตำรวจมีน้อย คุณวุฒิก็แย่ จบนักธรรมตรี โท เอก มาเป็นตำรวจ แล้วชาวบ้านเชื่อถือด้วย สมัยนี้มาเป็นตำรวจจบปริญญาโท ปริญญาเอก คนละเรื่องกันเลย ไม่ต่างผู้แทน สมัยก่อนยังมีศีลธรรม คุณธรรม นักเลงโบราณยังดีกว่ายุคสมัยนี้ ซื้ออย่างเดียว สังคมตำรวจยุคนี้ยิ่งหนัก ไม่รู้เอาวิธีอะไรมาคิดจะแต่งตั้งคนมาดำรงตำแหน่ง เลื่อน ลด ปลด ย้าย เอาวิธีการที่ไหนมา ไม่เชื่อข้างล่างเลย ตั้งแต่จังหวัด ภาค ไม่มี ไม่ถามสักคำ แล้วลอยมาจากไหนไม่รู้ ตำรวจบางคนทำงานมีโล่รางวัล แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เขายังแสดงความเห็นว่า ส่วนตัวมองเรื่องรายได้ของตำรวจเป็นอันดับรองลงมาจากความก้าวหน้า ให้ตำรวจยืนอยู่ได้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ว่าข้ามหัว ทำอะไรเละเทะไปหมด คือ ธรรมดาของทุกองค์กร คนไม่ดีต้องมีบ้าง ไม่ว่าองค์กรไหน แต่ส่วนที่ตั้งใจมาเป็นตำรวจแล้วไม่ได้หวังอะไรมากมาย หวังเหมือนข้าราชการอื่นในกระบวนการยุติธรรมก็พอ ไม่ใช่ต้นธาร แต่งานหนักกว่ากลางธาร หรือปลายธาร เหมือนต้มยำสักหม้อ จะต้องไปหาตะไคร้ ข่า ปลา กว่าจะได้ต้องไปขุดมาปรุงเป็นตำยำ ส่งไปให้อัยการนั่งอยู่ห้องแอร์ หยิบช้อนกิน บอกว่าเออ พอดี ส่งไปศาล ถ้าไม่พอดีก็ส่งกลับมาบอกเติมเกลือหน่อย เติมน้ำตาลหน่อย ศาลก็ว่าไปตามสไตล์ จะหนักกว่าอีกตอนเขียนคำพิพากษา แต่ตำรวจรายได้ผิดกันลิบลับ เกียรติยศศักดิ์ศรียิ่งไม่ต้องพูด หนังคนละม้วน
มุมคิดของนายตำรวจยุคเก่าชี้ว่า การทำงานของตำรวจใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ บางทีต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์ หลักโน่น หลักนี่ เพื่อที่จะให้มีพยานหลักฐาน เป็นเรื่องที่ไม่ใช่หาง่ายๆ ต้องใช้หลายหลักเพื่อให้มีพยานหลักฐานในการเอาผิด อยากถามว่า แล้วทำไมรายได้ ศักดิ์ศรีผิดกันลิบลับกับหน่วยที่เกี่ยวข้องกระบวนการยุติธรรมอื่น แล้วที่พูดๆ ว่า ตำรวจรวย มีถึง 5 เปอร์เซ็นต์หรือ
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.นันทวัฒน์ย้ำว่า บวกลบคูณหารแล้ว ยังเชื่อว่า ยุคปัจจุบันดีแต่เทคโนโลยีการสืบสวน ทว่าประชาชนให้ความศรัทธา เคารพเชื่อถือตำรวจน้อยกว่าสมัยก่อน ที่สำคัญ ตำรวจยุคก่อนดีกว่า เรื่องระบบการแต่งตั้งโยกย้าย เพราะการพิจารณาจะมีเหตุมีผล เลือกเอาคนทำงานโดยส่วนใหญ่ ยุคนี้ระบบแย่ที่สุดเรื่องโยกย้าย เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ทั้งที่ตรงนี้คือ หัวใจของการทำงาน ปัจจุบันแทบไม่มี ทำให้หยุดหมด เพราะระบบทำให้เขาไปไม่ได้ เหลือแต่คนคิดไม่ทำงาน มาเพื่อเอายศ เอาตำแหน่ง เชื่อไหมวันก่อนมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบลมาเล่าว่า นายตำรวจระดับผู้กำกับมาขอเงิน เพราะอยากจะเป็นรองผู้บังคับการ ต้องเสียค่าใช้จ่าย 3 ล้าน อยากขอให้ช่วยสัก 5 แสน
“คิดดูก็แล้วกันเป็นผู้กำกับเพื่อขึ้นรองผู้การ ต้องจ่ายเงิน มันอะไรกัน ที่จ่ายไม่ได้หวังอะไรนะ เพราะว่า ตัวเองอายุยังน้อยอยู่ มีโอกาสโตไปข้างหน้า แล้วถ้าเกิดจ่ายตังค์แล้ว เป็นมะเร็งตายไป สักแค่ 2-3 ปี มันจะคุ้มไหม จริงไหม แนวคิดตำรวจหลายคนวันนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว ขนาดเป็นรองผู้การยังต้องจ่าย ผมว่าไม่ไหว แล้วไม่ใช่แค่ผมรู้ สื่อมวลชนก็รู้ ชาวบ้าน ร้านค้าก็รู้ ตำรวจก็ไประบายให้ฟัง นักการเมืองก็รู้ แต่แก้ไม่ได้ เรื่องแบบนี้เป็นมานานแล้วนะ” อดีตรองผู้การเมืองเพชรเปรียบเทียบทิ้งท้ายว่า สมัยก่อนรองสารวัตรขึ้นสารวัตรต้องสอบคัดเลือกเนื่องจากมีผลงานดี คัดแต่ละจังหวัดส่งไปอบรมที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ใช้วิธีสอบเลื่อนตำแหน่งถือว่า ยุติธรรมที่สุด
นันทวัฒน์ ปานแก้ว !!!