พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้ว สว.ฝอ.บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น รอง สว.กก.สส.4 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร, ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว.ฝอ.บก.สส.บช.น., ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์ รอง สว.ฯ, จ.ส.ต.ณัฐกิต เชื้อสุข ผบ.หมู่ฯ, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ผบ.หมู่ฯ, จ.ส.ต.สรศักดิ์ ด้วงชู ผบ.หมู่ฯ เข้าจับกุมตัว น.ส.พิมพ์ประภัสสร แจ่มจำรัส อายุ 44 ปี ชาว จ.พิษณุโลก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ จ.105/2566 ลงวันที่2 มี.ค. 2566 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” จับกุมได้ที่บริเวณภายในลานจอดรถวัดแห่งหนึ่ง ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
เนื่องจากประมาณปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัท โอดี แคปปิตอล จำกัด มีพฤติกรรมชักชวนผู้คนฝากเงินลงทุนเทรดเทรดหุ้น forex จะได้ตอบแทนสูงถึงร้อยละ 10 จากเงินลงทุน และสามารถชักชวนผู้สนใจมาร่วมลงทุนได้เยอะ จะได้สิทธิพิเศษไปเที่ยวต่างประเทศ จึงทำให้มีผู้หลงเชื่อเข้าไปร่วมลงทุนจำนวนมาก กว่า 500,000 คน มีเงินหมุนเวียนนับพันล้านบาท ต่อมาบริษัทดังกล่าวไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนได้จริงตามที่ตกลง จนมีการเข้าแจ้งความไว้กระทั่งศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 32 คน โดย น.ส.พิมพ์ประภัสสร ผู้ต้องหารายนี้ เป็นหนึ่งใน “หัวเรือ หรือ แม่ทีม” คนสำคัญ ที่ร่วมชักชวนผู้เสียหายมาร่วมลงทุน ทำให้ผู้เสียหายในคดีนี้ถูกหลอกลงทุนกว่า 5,000,000 บาท ได้แจ้งความดำเนินคดีที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมลงพื้นที่สืบสวนทราบว่า ภายหลังจากวงแชร์ล่ม ผู้บริหารบริษัทเริ่มถูกจับกุม แม่ทีมรายนี้ได้ผันตัวมาเป็นเจ้าแม่สายบุญ มักไปทำบุญที่วัดทุกวันพระเป็นประจำ โดยมีการปรับเปลี่ยน“ทรงผม” อยู่บ่อยครั้ง เพื่ออำพรางตัวเองไม่ให้เป็นที่จดจำ จนกระทั่งทราบว่า น.ส.พิมพ์ประภัสสร มาปฏิบัติธรรมในวัดดังย่านคลองหลวง พล.ต.ต.ธีรเดช หรือผู้การจ๋อ ผู้บังคับการสืบนครบาล จึงส่งตำรวจหญิง ใส่ชุดขาวแฝงตัวเข้าร่วมการทำบุญและปฏิบัติธรรม แต่ครั้งนี้ น.ส.พิมพ์ประภัสสร ใส่วิกผมสีน้ำตาลติดโบสีขาวด้านหลัง แต่ก็ไม่สามารถตบตาตำรวจได้เฝ้ารอจนเสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมจึงเข้าจับกุมตัวได้ดังกล่าว สอบสวน น.ส.พิมพ์ประภัสสร ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่า สิ่งที่ตนทำเป็นการลงทุนจริงๆไม่ได้เป็นการฉ้อโกง เพราะตนก็ได้เงินจริง ส่วนเรื่องที่เป็นคดีความเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2560 ตนได้รับการชักชวนจากคนรู้จักให้ร่วมลงทุนเกี่ยวกับการเทรดหุ้น ตนได้เงินจากการลงทุนจริง ได้ผลกำไรจากการลงทุนร้อยละ 7 ต่อเดือน เมื่อได้เงินจริง ตนก็เริ่มชักชวนคนรอบตัวมาร่วมลงทุนเพิ่ม โดยตนเองได้ไปถ่ายรูปร้านเพชรและกิจการที่จังหวัดเชียงใหม่ จนเกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้มีคนสนใจมาลงทุนด้วยจำนวนมาก ต่อมา เมื่อปี 2561 บริษัทที่ลงทุนเริ่มประสบปัญหาในการจ่ายปันผล ไม่ได้เงินตามที่ลงทุนไป ทำให้ตนไม่ได้นำเงินไปจ่ายให้กับคนที่ตนชักชวนมาจึงเกิดคดีความขึ้น
น.ส.พิมพ์ประภัสสร ให้การต่อว่า ในส่วนของเรื่องการเปลี่ยนทรงผมบ่อย เป็นเพราะว่าลูกชายให้เปลี่ยน เนื่องจากลูกชายได้รับไอเดียร์การเปลี่ยนแปลงทรงผมใหม่ๆ มาจากสื่อออนไลน์ ตนจึงได้เปลี่ยนตามเพราะลูกชอบ และตอนนี้ตนมีผมสั้นเพราะเพิ่งสึกจากการบวชที่วัดแถวพิษณุโลก ส่วนตัวตนชอบการทำบุญและปฏิบัติธรรมมากเพราะทำให้จิตใจสงบ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี ดำเนินคดี
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ปัจจุบันอาชญากรรมออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของประชาชน โดยคนร้ายได้ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องมือในการหลอกล่อเหยื่อให้ร่วมลงทุนหรือโอนทรัพย์สิน ทำให้มีผู้เสียหายในคดีรูปแบบนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงฝากความห่วงใยไปยังประชาชนทุกท่านขอให้รู้เท่าทันกลโกงเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้ หากท่านการกระทำความผิดโปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจ“สืบนครบาล IDMB