พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พ.ต.อ.กรีธา ตันคณารัตน์ รองผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ สั่งการ พ.ต.อ.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ ผู้กำกับการ2กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ต.ท.เกียรติก้อง ทองคำ รองผู้กำกับการ2กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ต.ท.วรพล เลิศวิริยะพงศ์, พ.ต.ท.ศิษฏ์ พูลวงศ์ สารวัตรกองกำกับการ2กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำกำลัง เข้าจับกุม นายนายธีรพล สีฟอง อายุ 31 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2871/2567 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 และนางสาวอรัญญา ตาชุมภู อายุ 21 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2870/2567 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 พร้อมตรวจยึดของกลาง โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ไอโฟน รุ่น 14 โปรแม็กซ์ จำนวน 1 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ เหมยตู จำนวน 1 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ไอโฟน รุ่น 11 จำนวน 1 เครื่่อง โดยจับกุมนายธีรพล บริเวณหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง ถนนประชาอุทิศ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร และจับกุม นางสาวอรัญญา ได้บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ต.ดอนศิลา อ.เวียงชัย จ.เชียงราย
พร้อมแจ้งข้อหาเพิ่ม นางสาวณัฐณิชา ปัญญาโชติหิรัญ อายุ 31 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2869/2567 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 ที่เรือนจำทัณฑสถานหญิงกลาง ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ในข้อหา “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยเป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ถ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษา หรือทางอื่นใดโดยมีชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ การเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีลักษณะคล้ายทาส และการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูตรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ และผู้ที่สมคบกันกระทำความผิดคนใดคนหนึ่ง ได้ลงมือกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกัน , ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยเป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด จัดให้ อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษา หรือทางอื่นโดยมิชอบ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ การเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีลักษณะคล้ายทาส และการอื่นใดอันเป็นการขูดรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม , ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ , ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น, ร่วมกันโฆษณาจัดหางานโดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด” สืบเนื่องจาก เมื่อเดือน ต.ค.2566 ต่อเนื่อง เดือน พ.ย.2566 รัฐบาลเมียนมาร์ และกลุ่มพันธมิตร ทางตอนเหนือของเมียนมาร์ ร่วมกับรัฐบาลจีน เปิดปฏิบัติการทลายแก๊งจีนเทาขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเมืองเล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมาร์ พร้อมส่งตัวคนไทยที่ถูกหลอกลวงมาเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้กระทรวงการต่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือเดินทางกลับถึงประเทศไทย
ต่อมา กก.2 บก.ปคม. ได้รับมอบหมายให้ทำการสืบสวนสอบสวนกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ที่มีนายเฟยหยาง เป็นหัวหน้า เฉพาะกลุ่มนี้พบว่าบุคคลที่ถูกช่วยเหลือมา เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จำนวน 8 คน มีผู้ร่วมขบวนการ จำนวน 11 คน แบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน แบ่งเป็น ส่วนของ HR ที่เป็นคนไทย จำนวน 4 คน ทำหน้าที่หลอกคนไทยมาทำงานเป็นแอดมินตอบแชทลูกค้าจะได้ค่าตอบ ส่วนที่เหลือจะทำหน้าที่กักขังเพื่อบังคับใช้แรงงาน และบังคับให้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยจะได้ค่าตอบแทนเดือนละ 25,000 – 50,000 บาท จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาออกหมายจับทั้ง 11 คนไว้
กระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับ ว่า นายธีรพลฯ หรือ นายธนพลฯ(ชื่อเดิม) ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าทีม ควบคุมการทำงานของคนไทยที่ถูกหลอกมา ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่คอนโดแห่งหนึ่ง ถนนประชาอุทิศ เขตดินแดง กรุงเทพฯ จจึงจับกุมัวได้ดังกล่าว ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.2บก.ปคม.เข้า นางสาวอรัญญา ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่เป็น HR. โพสต์หลอกลวงคนไทยมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ที่ บ้านหลังหนึ่ง ต.ดอนศิลา อ.เวียงชัย จ.เชียงราย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีการแจ้งข้อหาเพิ่มในเรือนจำ จำนวน 1 คน ได้แก่ นางสาวณัฐณิชาฯ อายุ 31 ปี ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร หลังพบว่า ผู้ต้องหารายนี้ ทำหน้าที่เป็น HR. หลอกคนมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
สอบสวน นายธีรพล ให้การปฏิเสธ อ้างว่าก่อนเกิดเหตุตนเองทำงานเป็นพนักงาน อยู่ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในเมืองเล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมาร์ และได้คบหาเป็นแฟนกับชายชาวจีน ต่อมาชายชาวจีน ได้ชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน และได้ช่วยเป็นล่ามแปลตามที่พูดเท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่อย่างใด ส่วน นางสาวอรัญญา ให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่า ได้ใช้เฟซบุ๊กที่มีตัวตนปลอม จัดหาคนไทยมาทำงานจริง แต่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่อย่างใด พร้อมนำตัวพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคม. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป