หลังเกษียณ

 

เคยส่งเรื่องมาลงนิตยสาร COP’S เมื่อหลายปีก่อน

พ.ต.อ.บรรดล ตัณฑ์ไพบูลย์ ระพึงรำพันระบายความรู้สึกสะท้อนวัยหลังเกษียณอายุราชการตำแหน่งสุดท้ายรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี

ขออนุญาตนำบทความมาตีแผ่ในโลกออนไลน์เป็นบันทึกอนุสรณ์ต่อการจากไปของนายตำรวจชื่อดังคนหนึ่งในยุทธจักรสีกากี

เจ้าตัวฝากแง่คิดถึงสัจธรรม

หลังเกษียณ ผมได้เขียนหนังสือชีวิตการทำงาน ความเป็นตำรวจอาชีพของผม ชื่อเรื่อง “มือปราบเหยี่ยวดำ”  ได้รับความนิยมและประสบผลสำเร็จอย่างมาก พิมพ์จำหน่ายถึง 11 ครั้ง ช่อง 7 HD  ซื้อลิขสิทธิ์จากผมไปสร้างเป็นละครประสบผลสำเร็จพอสมควร

ชีวิตหลังเกษียณ ได้พบเห็นสัจธรรมชีวิตมากมาย สิ่งที่มาเยือนอันดับแรก คือ “ความเหงา” จากคนที่ต้องทำงานปราบปรามโจรผู้ร้ายมาทั้งชีวิต กลายเป็นคนไม่มีงานทำ มันเหงาเสียจนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก

ฃมีสถานที่แห่งหนึ่งที่คนเกษียณอายุราชการจะได้พบปะพูดคุยและทักทายกัน นั่นคือ “โรงพยาบาล”สถานที่แห่งนี้ผมได้พบกับอดีตผู้บังคับบัญชา เพื่อนฝูง และผู้ใต้บังคับบัญชามากมายหลายคน นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางคนบางคนในอดีตเคยยิ่งใหญ่ อำนาจบารมีล้นเหลือ แต่ในภาพที่ผมเห็นในโรงพยาบาล คือ ท่านเดินคนเดียว ก้าวเท้าสั้น ถือถุงยา ไม่มีใครมาห้อมล้อมอารักขา เอาอกเอาใจเลย

นายบางคนผมเข้าไปทักทาย ท่านจำผมไม่ได้ ท่านชี้ไปที่สมองของท่านว่ามีปัญหา

ความดี ความชั่วของมนุษย์เห็นกันในตอนนี้

นายบางคนที่มีคุณธรรม จะมีลูกน้องเก่าเข้าไปยกมือไหว้ สวมกอดทักทาย

ตรงกันข้ามกับนายบางคนที่ชั่วชีวิตที่รับราชการมีแต่เอาเปรียบลูกน้อง เห็นแก่ตัว มักมากในลาภผล

ลูกน้องเก่าพบเห็น อย่าว่าแต่ยกมือไหว้ทักทายเลย มีแต่คนสะบัดหน้าหนี

เคยมีนายเช่นนี้เข้ามาทักทายผมก่อน ผมได้แต่มองหน้า และคิดในใจว่า ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาที่ “ห่วยแตก” เหลือเกิน

ผมก็ขอฝากถึงน้องๆ ตำรวจทุกนายที่ยังทำงานอยู่ ขอให้ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความรักความเห็นใจ และมีคุณธรรมด้วย

อย่าได้ทำตัวเป็นเทวดา ไปไหนมาไหน ต้องมีลูกน้องอยู่ล้อมรอบ มีพ่อค้าวานิชมาทำตัวสนิทสนมอาอกเอาใจท่านสารพัด คนพวกนี้จะหายไปหมด หลังจากท่านเกษียณอายุราชการแล้ว

เหตุเพราะเมื่อท่าน “หมดอำนาจ” และเกษียณราชการแล้ว ท่านต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยความ “สมถะ” หัดใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ขับรถด้วยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง

เคยมีคนกล่าวว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคน หรือหลายคน หลังเกษียณ ขับรถ ถอยรถออกจากบ้าน แล้วไปชนประตูรั้วได้ง่ายๆ เพราะในชีวิตที่ผ่านมา มีแต่คนขับรถให้

บางท่านบางคน ตอนรับราชการจัดงานวันเกิด มีคนมาร่วมงานมากมายจนในซอยบ้านของท่านรถติดกันยาวเหยียด แต่พอหลังเกษียณ อนิจจา! คนพวกนี้หายไปหมด คิดดูสิว่าเป็นเพราะอะไร

ก็เพราะท่านไม่มีอำนาจที่จะให้คุณให้โทษใครแล้ว ท่านต้องทำใจและปล่อยวาง เพราะชีวิตเป็นเช่นนี้เอง

บางท่านก็จากไปเร็วเหลือเกิน เกษียณไม่นานก็จากไปเสียแล้ว จะเหลือสิ่งที่ประดับไว้ในโลกว่า ท่านได้ประกอบคุณงามความดี หรือความชั่วร้ายต่างๆ ไว้หรือไม่ คนที่มีชีวิตอยู่ เขาจะคิดถึงท่านและมองท่านในมุมใดเท่านั้น

ฝากน้องๆ ที่ยังทำงานรับใช้ประชาชนอยู่ว่า ท่านต้องทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนจริงๆ อย่าพูดแต่ปาก เขาเป็นเจ้าของเงินภาษีที่จ่ายเงินเดือนให้เรา ไม่ใช่ไปเอาใจนักการเมือง หรือนายที่ชอบคนมาประจบสอพลอ มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ ต้องยึดถือคำสอนของ “สถาบัน” โรงเรียนที่พร่ำอบรมสั่งสอนเรามาตลอดว่าเราเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”

พล.ต.ท.ณรงค์ เหรียญทอง อดีต ผบช.น. เคยกล่าวเอาไว้ก่อนที่ท่านจะเกษียณราชการต่อหน้าตำรวจนครบาลว่า “อาชีพของเรา การจับกุมคนร้ายได้ จิตใจเราก็เป็นสุข” ช่างเป็นคำพูดที่ไพเราะ และประทับใจ กินใจเหลือเกิน

ทำให้ผมนึกถึง ปรมาจารย์นักสืบและแม่แบบของวงการตำรวจอีกท่านหนึ่ง พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ อดีต ผบช.น. ท่านจะกล่าวตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอว่า “ไม่มีความหายนะใด เท่ากับการไม่รู้จักพอ”

คำสอนนี้ก็เพื่อให้พวกเราได้สำนึกเสมอในความไม่ละโมบ ความไม่รู้จักพอ แสวงหาแต่ผลประโยชน์ ประพฤติตนนอกลู่นอกทาง หมกมุ่นอยู่แต่อบายมุข ยอมลดตัว ลดศักดิ์ศรีของตัวเองไป การไปรับใช้เจ้าพ่อ นักเลง ไปรับใช้เจ้าของบ่อนการพนัน สุดท้ายชีวิตก็พังทลาย ครอบครัวผิดหวัง เสียใจ ในตัวของหัวหน้าครอบครัว

ชีวิตมนุษย์ทุกคนยามจากโลกเปรียบเสมือน “โรงละครโรงใหญ่” ไปแล้ว สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะประดับไว้ ผู้ชม หรือผู้อยู่ใกล้ชิดจะคิดถึงเรา และมองเราอย่างไร ก็คือ “ความดี” หรือ “ความชั่ว” เท่านั้นเอง

ผมฝากไว้เป็นข้อคิดกับ “ตำรวจรุ่นใหม่” ครับ

RELATED ARTICLES