พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม, พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.อรรชวศิษฎ์ ศรีบุญยมานนท์ ผู้กำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง, พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รองผู้กำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล สั่งการให้ พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สารวัตรกองกำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย ร.ต.อ.พิชชากร กองสวัสดิ์ ,ร.ต.อ.พงศธร อารีย์ รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวน3กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำกำลังชุดปฏิบัติการที่ 3 ได้จับกุม น.ส.ลักษมี ฐานะการณ์ อายุ 50 ปี ชาวจังหวัดขอนแก่น ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1222/2561 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ข้อหา “ร่วมกันพยายามฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจรและร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” ได้ที่บริเวณหน้าร้านนวด ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ผู้เสียหาย อายุ 64 ปี ได้รับโทรศัพท์ อ้างว่าเป็นตำรวจ พร้อมแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและคดีฟอกเงิน ก่อนออกอุบายว่า ทางตำรวจจะยึดบัญชี และหลอกให้โอนเงินเพื่อป้องกันการอายัดบัญชีเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินให้ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีจนมีการออกหมายจับไว้
สอบสวน ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า ช่วงปี61 ตนทำงานร้านนวดใน กทม.ต่อมาได้รับการชักชวนจากเพื่อนร่วมงานไปทำงานนวดที่ประเทศมาเลเซีย แต่เมื่อไปถึงกับได้ทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ทำหน้าที่รับสายจากคนไทยได้ค่าแรงวันละ 500 บาท ไปพร้อมกับเพื่อนอีก 8 คน เมื่อไปถึงมีชาวไต้หวันเป็นหัวหน้าแก๊ง ยึดมือถือพร้อมแอปธนาคารของตน และให้ตนปลอมเป็นคอลเซ็นเตอร์หลอกเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย คอยรับสายโดยมีสคริปให้ตนท่อง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อตนจะโอนสายให้เพื่อนร่วมงานผู้ชายที่มาด้วยปลอมเป็นตำรวจไทย เพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อว่ามีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและคดีฟอกเงิน ทางตำรวจจะยึดบัญชีและหลอกให้โอนเงินเพื่อป้องกันการอายัดบัญชีโดยให้โอนเงินมาให้แก๊งของตน เมื่อตนทำงานถึงวันที่ 10 เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียพร้อมด้วยตำรวจไทยบุกทลายแก๊งของตนในบ้านพัก2ชั้นภายในเมืองแห่งหนึ่งติดชายแดนของประเทศไทย ตนเชื่อว่ากลุ่มของตนที่หนีมาทำงานด้วยกัน 2 คนเป็นสายตำรวจทำให้แก๊งของตนถูกจับ เพราะว่า 2 คนที่ตนเชื่อว่าเป็นสายตำรวจ ไม่ถูกจับ
ตนรู้สึกเสียใจที่ต้องติดคุกที่มาเลเซียและต้องถูกจองจำในคุกไทยอีก 5 ปี (หมายจับคดีเดียวกัน สน.ลาดกระบัง) แต่ตนเป็นนักโทษชั้นดีได้อภัยอภัยโทษ เหลือจำคุกจริง 3ปี3เดือน เมื่อพ้นโทษออกมาตนกลับไปอยู่ภูมิลำเนา จ.ขอนแก่น 2 ปี ต่อมามาทำงานเป็นพนักงานนวดย่านประเวศเพียง 1 ปี ตนกลับถูกดำเนินคดีกับสิ่งที่ตนได้ก่อกรรมไว้ในอดีต ตนขอปฏิเสธ ที่ผู้เสียหายถูกหลอกโอนเงินจำนวน 120,000 บาท เข้าบัญชีของตน ตนไม่รู้ว่ามีเงินเข้าแต่อย่างใด เพราะหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยึดมือถึงตนไว้ เพียงยอมรับว่าตนทำหน้าที่เป็นปลอมเป็นคอลเซ็นเตอร์ของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์คอยหลอกเหยื่อคนไทยเท่านั้น สุดท้ายอยากฝากถึงคนที่คิดจะทำผิดอยากทำผิดเลย ถ้าย้อนเวลาไปได้ตนจะไม่กระทำต่อคนไทยด้วยกัน พร้อมเอ่ยคำว่าเสียใจกับเจ้าหน้าที่
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังขบวนการหลอกพาคนไทยไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ริมชายแดนประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีอยู่ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนที่กำลังหางานทำ ซึ่งมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก โดยจะต้องทำยอดให้ได้ตามเป้าแต่ละเดือน บางทีก็ถูกนำบัญชีธนาคารไปรับโอนเงินกลายเป็นบัญชีม้า จึงอยากเตือนคนที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อว่า ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาว่า ทำงานง่ายได้เงินวันละพันกว่าบาท หรือหลายหมื่นบาท และสามารถไปทำได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานยืนยัน หรือไม่ต้องเตรียมเอกสารในการข้ามแดน สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง และไม่ควรหลงเชื่อบรรดากลุ่มมิจฉาชีพ