ปลายยุคฟิวดัล ณ สถาบัน “ทิวป่าสนอะคาเดมี”
แหล่งผลิต “ยอดอัศวิน” นักรบบนหลังอาชาที่บรรดาเจ้าเมือง แลขุนนางน้อยใหญ่ส่งบุตรหลานเข้าฝึกฝนอบรม เพื่อออกมาทำหน้าที่ “อัศวินผู้พิทักษ์” สืบต่อรุ่นสู่รุ่น
เป็นกฎธรรมชาติ
ทว่าเมื่อกาลเวลาล่วงผ่านมายาวนาน เดินมาถึงจุดพลิกผันแห่งยุคสมัย ทำให้ความสามารถของนักรบเกราะเหล็กถือทวนบนหลังม้า กลายเป็น “สิ่งล้าสมัย”
ชนชั้นอัศวินเริ่มมีชีวิตตกต่ำ
บรรดาเจ้าเมืองเลิกจ้าง “นักรบโบราณ” อันเป็นผลจากเทคโนโลยีด้าน “อาวุธปืนไฟ” ปืนคาบศิลาเข้ามาแทนที่ และมีแสนยานุภาพการยิงจากระยะไกลทะลุ “เกราะเหล็ก” อัศวินได้อย่างแม่นยำเหมือนจับวาง
เมื่อคุณสมบัติอัศวินเริ่มตกยุคและล้าหลัง ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดของชนชั้นนำ เป็นเหตุให้ผู้จัดการและทีมงาน “ทิวป่าสนอะคาเดมี” เกิดไอเดียบรรเจิดพิสดารจากคำแนะนำของบรรดา “พ่อค้าคหบดีผู้มั่งคั่ง” จากการลงทุนทำธุรกิจสมัยใหม่
เสนอแนวคิดปรับหลักสูตร
เพิ่มเติมวิชาว่าด้วยการค้าและการลงทุนแก่เหล่านักเรียนอัศวิน ส่งผลให้พันธุกรรมนักรบบนหลังม้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ต่างมัวหลงระเริงกับความหวังที่จะมีชีวิตที่ร่ำรวยด้วยศาสตร์การลงทุนสมัยใหม่ คุณธรรมของเหล่าอัศวิน ว่าด้วย ความกล้าหาญ อดทน ซื่อสัตย์ ภักดี กลายเป็นแค่ “คำเชยๆ “ พวกกูรูการลงทุนอายุน้อยร้อยล้าน และนักวิชาการที่อ้างว่าตนเชี่ยวชาญกลยุทธการลงทุน
ต่างวิ่งเต้นเข้าไปเป็นอาจารย์สอนใน “ทิวป่าสนอะคาเดมี” หวังสร้างชื่อชั้นในวงการนักสร้างฝันสมัยใหม่ แต่ภูมิหลังแต่ละคนนั้นเหวอะหวะเน่าเฟะ และเมื่อทุกคนต่างรู้ถึงจุดอ่อนของหลักสูตร “อัศวินนักรบบนหลังม้า” แทนที่จะปรับปรุงวิชาว่าด้วยอาวุธให้ทันสมัย
เหตุใดท่านไปเปลี่ยนเอาวิชาของพ่อค้ามาปั่นหัวเป่ากระหม่อม ทำลายจิตวิญญาณ “อัศวินนักรบรุ่นใหม่” เล่าครับ
ท่านอาจารย์ใหญ่ที่เคารพ
Cr : ภูตะวันฉาย