วิชาการบริหารงานตำรวจที่ไม่มีใครสอน (3)

 

ว่าถึงบทสุดท้ายของเรื่อง วิชาการบริหารงานตำรวจที่ไม่มีใครสอน สะท้อนเส้นทางชีวิตจริงในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ช่วงหนึ่งของ พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตำรวจคนเข้าเมือง 2

ตอน5 : กาแฟดำไม่น้ำตาล

แม้จะได้เบี้ยเลี้ยงมาแล้ว แต่สถานการณ์ในฐาน ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก  ถูกท่านเจ้าอาวาสเชิญออกจากวัด เพราะต้องใช้พื้นที่จัดงานกฐิน ต้องย้ายไปอาศัยโรงเรียนข้างวัด พอโรงเรียนเปิด ต้องไปขออาศัย “อาคารร้าง” ที่กำลังรื้อถอนของโรงพักสามตำบลเป็นฐานชั่วคราว.

สภาพเวลานั้น ไม่ต่างจาก “พวกเร่ร่อน” คิดแล้วอดอนาถใจกับชีวิตพวกเราเวลานั้นไม่ได้

จากทีมสายสืบที่มีชื่อยำเกรงไปทั้ง 4 จังหวัด กลายเป็น “หมาข้างถนน” อาศัยอาคารไม้ผุพังร้างรอรื้อ ไว้ซุกหัวนอน

นึกน้อยใจสภาพ ข้าราชการตำรวจกับ “คนไร้บ้าน” ที่ไม่ต่างกัน

ในขณะที่วันดีคืนดี ถูกสั่งให้นำกำลังขึ้นเขาลูกที่ไกลและสูงที่สุด จำได้ว่า เราผูกเปลนอน  ขมวดปมดักน้ำฝนที่โปรยปรายลงมาแทบทุกคืนตามฤดูกาลภาคใต้ โใช้ผ้าใบคลุมเปลแทนหลังคา นอนหลังแอ่น ตื่นๆหลับๆ คิดจินตนาการเยียวยาใจตัวเองไปว่า

กำลังมาเที่ยวกางเปลนอนบนภูกระดึง

เสียอย่างเดียว ลูกน้องเสือกลืมเอาน้ำตาล เอาครีม มาต้มกาแฟ ครั้นจะไล่ลงไปเอา คงใช้เวลา 2 วัน ก็เลยเป็นที่มาของการกินกาแฟดำ “ไม่ใส่น้ำตาล”มาตั้งแต่นั้น

ผลจากการใช้ชีวิตบนเขาเอียงๆเกือบสัปดาห์ ทำให้เวลาหลับ เผลอผวาว่า จะตกเขาอยู่สามสี่วัน เหมือนคนบ้า

ตอน6:กูไม่ทิ้งมึง

ข่าวลวง มักลวงให้เราเดินป่าแบบเสียเที่ยวเสมอ ที่น่าจำที่สุดครั้งหนึ่ง คือ สายข่าวแจ้งด่วนว่าพบคนร้ายพิกัดในเส้นทางลำธารในเขาลึก

ผมกำลังพักอยู่ที่สงขลา รีบนัดหมายลูกน้องพร้อม และรีบบึ่งรถจากสงขลา ผ่านพัทลุงถึงอำเภอป่าบอน ฝนตกหนัก รถหลังลื่นพุ่งชนรถผมท้ายพังยับจนผมคิ้วแตกเลือดอาบ

ทำได้เพียงทิ้งรถไว้ที่โรงพัก เรียกพลขับมารับ แบกปืน M-16 จากเบาะท้ายรถ ไปสมทบที่ฐาน ถึงเที่ยงคืนนำกำลังออกเดินเข้าป่าตามนัด.

ลูกน้องสงสาร บอกผู้กอง ทั้งคิ้ว ทั้งหน้า เยินขนาดนี้ ไม่ต้องไปก็ได้ เดี๋ยวพวกเขาไปเอง

ผมบอกเพียงว่า “ภารกิจอันตราย กูไม่ทิ้งมึง” กรอกพารา ดักไข้จากอาการปวดแผล ออกลุย คืนนั้น เราเดินฝ่าดงมืดของป่า ฝ่าดงทากดูดเลือดสดๆ ด้วยวิธีทางยุทธวิธีอย่างทุลักทุเล หวังเพียงเข้าโจมตีเป้าหมายให้ทันก่อนย่ำรุ่ง

พอถึงพิกัด มืดมาก ต้องซุ่มรอจนพอมีแสงให้เห็นในช่วงหกโมงเช้า พบเพียงเศษถุงมาม่าสภาพไม่ต่ำกว่าสามวัน ไม่คุ้มที่จะแกะรอยตาม

ผมสั่งถอนกำลัง และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เพื่อเป็นอนุสรณ์ทั้งที่มืดๆอย่างนั้น เป็นภารกิจป่าครั้งสุดท้ายในเวลานั้น

นึกขำว่า กูอุตส่าห์ไม่เลือกลงตำรวจตระเวนชายแดนเพราะเบื่อภาคป่า มาอยู่ภูธรดันหนีไม่พ้นป่าจนได้

ตอน7 :บทเรียนสุดท้าย

จากวันนั้น ไม่นาน ได้รับแต่งตั้ง ย้ายไปเป็น สารวัตรแผนก 5 กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 9 ที่สงขลา เป็นอันจบภารกิจที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตามาตลอด 1 ปีเต็ม

 ผมมารู้คำตอบว่า เหตุที่ผมและทีมถูกสั่งตั้งฐานนรกเป็นปีเช่นนี้ เพราะบ่อนที่เราไปทลายช่วงหลังปรับโครงสร้างนั้น คือ บ่อนของลูกผู้ใหญ่ภูธรจังหวัดนั่นเอง

ส่วนเรื่องเบี้ยเลี้ยงที่ผู้การอำนวยการท่านโยกโย้ไม่เซ็น ก็เป็นเพราะ “ความแค้น” ที่ผมเคยไปปิดสถานบริการแหล่งชุมโจรที่มีท่านเป็นหุ้นลมอยู่บ่อยๆโดยที่เราไม่เคยเฉลียวใจ เพียงแค่นั้น

ที่น่าขำคือ ทันทีที่ผมย้าย วันรุ่งขึ้น ผู้การจังหวัดเรียกกำลังกลับเข้าเมือง ยกเลิกภารกิจทันที

เวรกรรมทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ เพราะจากนั้น ไม่ถึงปี รองผู้บัญชาการท่านที่มีปัญหากับผม ถูกลูกน้องยิงตายคางานเลี้ยงส่ง ผู้การจังหวัดที่ส่งผมไปตั้งฐานก็ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคร้ายใน 2 ปีต่อมา มีผมช่วยร่างหนังสือประสานขอพระราชทานเพลิงศพให้

เหมือนเป็นโอกาสในการอโหสิกัน

ส่วนผู้การอำนวยการ มาร่วมหน่วยงานกันภายหลัง และยังชื่นชมผมก่อนท่านเกษียนว่าผมเป็นคนขยันทำงาน เราจบกันด้วยดี แต่ไม่มีจูบปากกันไปในที่สุด

ตอนปิด : สรุป

ผมจ่ายค่าเล่าเรียนน  “วิชาบริหารตำรวจที่ไม่มีสอนในโรงเรียน”  แลกวิชาโดนรังแก วิชาคนเร่ร่อน วิชาตำรวจชั้นต่ำ ( หมายถึง ชีวิตลำบากกว่าชั้นผู้น้อย และต่ำค่าในคำสั่งของผู้มีอำนาจ ) ในครั้งนี้ด้วย “เหงื่อ เลือด และ คราบน้ำตา”

ได้รับใบปริญญาเป็น “โรคไมเกรนติดหัว” มาจนถึงทุกวันนี้

วิชาชีวิตบทนี้สอนให้เข้าใจความจริงเรื่อง การบริหารอำนาจของ คนมีอำนาจที่ไร้คุณธรรม  วิชาวัฒนธรรมองค์กรแย่ๆ และ วิชาการบริหารความเป็นผู้นำในภาวะวิกฤติอนาถแบบที่ไม่มีนักวิชาการตำรวจหน้าไหนกล้าเขียนเป็นตำรา

ความสำเร็จที่ถือเป็นรางวัลเกียรตินิยมของผม ที่น่าภูมิใจที่สุด ในบทเรียนนี้คือ ” สร้อยข้อมือทองคำเส้นเล็กๆ” ที่ลูกน้องร่วมทุกข์ทั้ง 30 ชีวิต รวมเงินอันน้อยนิด ซื้อมอบให้ผมเป็นที่ระลึกในการรวมแถว กล่าวอำลา เป็นครั้งสุดท้ายในคืนก่อนการเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ที่สงขลา

มันมีค่ายิ่งกว่าโล่ ประกาศเกียรติคุณไหนๆที่ผมเคยได้รับ

มีน้องหลายคนบ่นน้อยใจในอาชีพ แต่อยากบอกว่า จริงๆอาชีพตำรวจ ไม่ได้ทำให้ตำรวจเลวร้ายหรอก  แต่คนที่วางระบบการบริหารงานตำรวจต่างหาก ที่ทำให้ระบบมันเลวร้าย

ที่สำคัญ

ไม่มีใครทำลายตำรวจได้เลวเท่าตำรวจด้วยกันเองแล้ว

ดังนั้น ก่อนจะคิดปฏิรูปตำรวจ ลองถามตำรวจดูก่อนไหมว่า ปัญหาของตำรวจ คืออะไร เพราะตราบใดที่ระบบยังให้ความเป็นธรรมแก่ตำรวจไม่ได้

เขาจะมอบความเป็นธรรมให้คนอื่นได้อย่างไร

RELATED ARTICLES