ผลกระทบจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.)
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกคำสั่งที่ 433/2566 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ในส่วนของผู้ร้องทุกข์ที่ตำแหน่งถูกกำหนดให้อยู่เพียงในกลุ่มสายงานอำนวยการและสนับสนุน (สายงานนักบิน) ไปจัดลำดับอาวุโสกันใหม่
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงกับต้องสะดุด “หยุดชะงัก” ในการพิจารณาแต่งตั้ง “นายพลเล็ก” ระดับ “รองผู้บัญชาการ” ถึง “ผู้บังคับการ” วาระประจำปี 2567
นั่งหัวโต๊ะขอมติที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจขยายเวลาการแต่งตั้งโยกย้ายข้ามปีไปราววันที่ 15 มกราคม 2568
ตรวจแถวรายชื่อระดับรองผู้บังคับการที่ยังไม่ได้อัปเดตล่าสุดจะได้มีผู้ขึ้นนายพลอัตโนมัติตามพระราชบัญญัติแห่งชาติใหม่ร้อยละ 50
ทั้งหมดมี 37 รายเป็นรองผู้บังคับการที่ครองยศ พ.ต.อ.มานาน 8-10 ปี แต่มีฝีมือมากมาย
ทว่าเส้นทางการเจริญก้าวหน้าช้า เพราะ “ไร้พลังสนับสนุน” ให้ขึ้น “นายพล” เร็วกว่าที่ผ่านมาจนกลายเป็นต้องใช้คำว่า “อาวุโส” เติบโตแบบไม่ต้องวิ่งเต้นใช้เส้นสาย
หลายคนชื่อชั้นไม่ธรรมดาผ่านประสบการณ์ทำงานครบเครื่อง
ตั้งแต่อาวุโสลำดับแรก พ.ต.อ.สุจริต ปานเล็ก รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 พ.ต.อ.ชัยเกียรติ วิริยสถิตย์กุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต อาวุโสลำดับที่ 10 พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รองผู้บังคับการวิจัย อาวุโสลำดับ 13
พ.ต.อ.กานต์ ธรรมเกษม รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี อาวุโสลำดับ 14 พ.ต.อ.ศุภกร ผิวอ่อน รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 อาวุโสลำดับที่ 36
แต่ที่น่าเสียดายสุด คือ พ.ต.อ.อิศเรศ สงวนงาม รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา มือสอบสวนคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนใต้ อาวุโสลำดับ 31 มีคิวเลื่อนติดยศ พล.ต.ต. แน่นอน แต่ต้องถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดเมื่อเดือนที่ผ่านมา
มองภาพรวมหากการพิจารณาหยิบตัวเสียบเก้าอี้ตามความรู้ความสามารถรายบุคคลให้ตรงกับความถนัดที่ทำสำหรับว่าที่นายพลทำงานดี แต่ไม่มีพลังเหาะเหินเดินอากาศ ทั้ง 37 ราย
สมควรได้รับโอกาสจัดไปตำแหน่งทำงานที่เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นการใช้ “นายพลอาวุโส” อย่างสมเกียรติและคุ้มค่า
มีความหมายในการจัดอาวุโสไว้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สังคมและประชาชนจะได้ประโยชน์มากมาย