ประติมากรรมตลอดขวบปีเกิดเรื่องราวมากมายใน “รั้วปทุมวัน” จนเป็นกล่าวขานจากสังคมชาวสีกากีด้วยกันและชาวบ้านนอกสำนักในหลากหลายมุมที่ทีมงาน COP’S ขอรวบรวมบันทึก “ที่สุดของคนสีกากีแห่งปี” ในวันส่งท้ายศักราช 2567
ที่สุดรอยร้าว
โดนลากเข้าไปเป็นชนวนคู่ความขัดแย้งภายในองค์กรสีกากีจากพฤติกรรมปีนเกลียวของนายพลรุ่นน้อง ทำให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ “เลอะรอยมลทิน” ส่งผลให้ นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ออกโรง “หย่าศึก”สะบัดปากกาลงนาม “ฟ้าผ่า” ย้ายเก็บกรุไปปฏิบัติงานสำนักนายกรัฐมนตรี มอบให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนเป็น “แม่ทัพชั่วคราว” ก่อนเซ็นกลับมานั่งเก้าอี้ “ผู้นำ” จนเกษียณอายุราชการ
ที่สุดทางเดิน
ส่วนคู่กรณีต้นเหตุรอยแตกอย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เจอมรสุมวิบากกรรมซ้ำซ้อนไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน ก่อนพบพัวพันเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ชัดเจน กระทั่งศาลออกหมายจับข้อหา “ร่วมกันฟอกเงิน” เป็นเหตุถูกคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อน ตัวเองต้องเปลี่ยนชื่อเป็น “สุรเชชษฐ์” เอาเคล็ด แต่ไม่อาจรอด “พิษ” แม้วิ่งรอกร้องขอความเป็นธรรมหลายหน่วยงานไปจนถึงศาลปกครองสูงสุด ต่างยืนยันผลวินิจฉัยความเป็นมติคำสั่งให้ออกจากราชการของต้นสังกัดเป็นไปตามกฎหมาย สิ้นสุดเส้นทางนายตำรวจฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่กำลังขั้วแคนดิเดตเก้าอี้ “เจ้าสำนัก” แม้เหลืออายุราชการถึงปี 2574
ที่สุดเป็นเอกฉันท์
ไม่มีพลิกล็อกภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก้าวรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ รับการบ้านชิ้นแรกพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ เสนอชื่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่ง “แม่ทัพคนที่ 15” ไร้แรงต้านทานเป็นมติเอกฉันท์ของที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
ที่สุดสปิริต
ถูกรัฐบาลคาดโทษผลงานปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีล้มเหลว ขีดเส้นตายระยะเวลาการทำงาน แม้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจะสนองนโยบาย “ผ่านฉลุย” แต่เจ้าตัวตัดสินใจขอลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ ยอมวางหัวโขนถอดเครื่องแบบ ไม่เลือกสภาวะกดดัน “เปิดหลุม” ให้ผู้มีความสามารถมารับทำหน้าที่คุมหน่วยตำรวจไซเบอร์แทน
ที่สุดเซอร์ไพรส์
หักปากกากูรูพลิกโผข้ามกลับมาคุมทัพตำรวจเมืองหลวง พล.ต.ท.สยาม บุญสม จเรตำรวจ โปรไฟล์เรียบง่ายไม่หวือหวา ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจชงให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกองทัพน้อยของตำรวจ เช่นเดียวกับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ มาแรงแซงปลายเป็นผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ด้วยเพราะมีฝีมือโดดเด่นให้สานงานเก่าที่ค้างคาคดีสำคัญอยู่
ที่สุดไว้ใจ
มองซ้ายมองขวาหามือไม้ทำงานหลักยากเต็มที พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเต็มตัวตัดสินใจเลือกเพื่อนรักนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 41 อย่าง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับทำหน้าที่หัวหน้าสืบสวนสอบสวนคดีมหากาพย์โกงของเครือข่าย “ดีไอคอนกรุ๊ป” และเชื่อใจในความสามารถให้คุมเกมขยายผลกลางล้างอิทธิพลบ้านใหญ่แดนบูรพาพื้นที่มากบารมีของนายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี
ที่สุดก็ถูกลืม
ก้มหน้าก้มตาทำงานตามสั่งไม่เคยปฏิเสธผู้เป็นนายสักครั้งเดียว พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ครบเครื่องเรื่องบู๊-บุ๋น นักสืบระดับอาจารย์ผลงานปรากฏมากมาย พร้อมรับใช้ทุกค่ายไม่ฝักใฝ่การเมืองในสารพัด “ภารกิจลับ” ถึงเวลาพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายโดน “ชักบันไดหนี” ทำกระเด็นหลุดออกจากตะกร้าวืดตำแหน่งติดยศ พล.ต.ท. เมื่อผู้อำนาจไม่สนคุณค่าราคาความสามารถ ทว่าได้กำลังใจจากคนรอบข้างเต็มพิกัด
ที่สุดผู้นำ
คุมหน่วยเฉพาะทางของกองกำลังติดอาร์ม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นแม่ทัพบริหารงานได้อย่างลงตัว มอบให้ทุกสังกัดโชว์ผลงานปราบปรามอาชญากรรมตลอดจนออกทำกิจกรรมจิตอาสาช่วยชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติ และยังเพิ่มช่องทางประสานงานผ่านเพจเฟซบุ๊กกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง CIB ประชาสัมพันธ์การทำงานของตำรวจสอบสวนกลางเป็นที่นิยมและชื่นชมจากชาวบ้านสมมอตโต “มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน”
ที่สุดเสียงปรบมือ
ตลอดระยะเวลา 2 ปีปรับทัศนคติการทำงานเชิงรุกของลูกน้องให้รวมใจเป็นหนึ่งเดียวประดุจครอบครัวเดียวกัน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล ทำเพจสืบนครบาล IDMB ติดเทรนด์ ได้แฟนคลับติดตามยอดทะลุเป้าเกินคาด เนื่องจากเป็นช่องทางให้ผู้เสียหายติดต่อขอความช่วยเหลือ ก่อนนำกำลังออกสืบสวนจับกุมได้ทันควัน มีผลงานปราบปรามโจรผู้ร้ายรายวันที่ประชาชนพึ่งพาได้จริง
ที่สุดไอดอล
นายตำรวจนักสืบหนุ่มมาดเซอร์แห่งปีหนีไม่พ้น “สารวัตรแจ๊ะ” พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล ที่หลายคนจ้องอยากเปิดหน้าจากบุคลิกสวมหมวกไหมพรม สวมแว่น ใส่แมสก์อำพรางตัวออกติดตามจับกุมคนร้ายแบบถึงเนื้อถึงตัว ผ่านการ “ไลฟ์” ปฏิบัติการจู่โจมที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ทำเจ้าตัวดังเป็นพลุแตกกับวลีเด็ด “อย่าเล่นกับระบบ” มีหนุ่มสาวติดตามต่อเนื่องกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนไม่น้อยอยากเป็นตำรวจเหมือน “สารวัตรแจ๊ะ”
ที่สุดของชีวิต
ทำงานด้วยอุดมการณ์ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แลกด้วยลมหายใจตัวเองจนวินาทีสุดท้าย สดุดีวีรกรรม พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม เข้าระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งขู่ทำร้ายลูกในตึกแถวเป็นสถานการณ์วิกฤติที่นายตำรวจระดับรองผู้กำกับการต้องแสดงความเป็นผู้นำ ตัดสินใจเข้าไปชาร์จจะจับกุมโดยไม่คิดถึงชีวิตของตัวเองเพียงเพื่อให้ตัวประกันปลอดภัยจนถูกกระสุนของเจ้าของบ้านเสียชีวิต ถือเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่สุดการตามล่า
หนีออกจากโรงพยาบาลข้ามน้ำข้ามทะเลรอดเงื้อมือกฎหมายนานข้ามปี นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ แป้ง นาโหนด นักโทษอุกฉกรรจ์แดนใต้ท้าทายเจ้าหน้าที่หลังจากโพสต์คลิปแฉกระบวนการยุติธรรมอ้างถูกกลั่นแกล้งยัดข้อกล่าวหาให้ตำรวจและราชทัณฑ์ตามล่าตัวกันจ้าละหวั่น พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 9 ตามดมกลิ่นความเคลื่อนไหวกลุ่มคนใกล้ชิด มี พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผู้กำกับการ (สอบสวน) กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นแม่งานช่วยเช็กการเดินทางเข้าออกนอกประเทศ รายงาน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตั้งชุดเฉพาะกิจคัดตำรวจมือดี “ปฏิบัติการลับ” ข้ามประเทศ รวบตัว “แป้ง นาโหนด” คาห้องพักบนเกาะบาหลีคุมตัวส่งกลับมาดำเนินคดีในไทยได้สำเร็จ
ที่สุดฉาวโฉ่
พฤติกรรมลุแก่อำนาจสุดป่าเถื่อนของ 7 ตำรวจจราจรกลางตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์รุมทำร้ายร่างกายลูกชายนายตำรวจอดีตสังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับบาดเจ็บสาหัส ปม “จำรถผิดคันกระทืบผิดคน” ทำเอาหน่วยหัวปิงปองเหม็นเน่าเป็นตราบาปติดคาใจสังคม พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผู้บังคับการตำรวจจราจร ต้องเซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการและดำเนินคดีอาญาแล้วกลับมาทบทวนแผนตั้งด่านตรวจเมาที่ถูกเหมารวมเสียภาพลักษณ์กันหมด