“ตั้งรับอย่างเดียวไม่ได้ ต้องออกไปยิงกับมันบ้าง”

ผ่านประสบการณ์ในสนามสมรภูมิเดือด 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างโชกโชนถึงขั้นเคยบุกข้ามประเทศเข้ารังขุนโจรหวังอุ้มหัวหน้าผู้ก่อความไม่สงบจนดังกระฉ่อนมาแล้ว

พล.ต.ท.ปัญญา เทียนศาสตร์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ถึงมีเรื่องราวมาเล่าเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาดับอุณหภูมิร้อนปลายด้ามขวานไทย และจะทำอย่างไรเมื่อต้องลงพื้นที่เผชิญกับสถานการณ์วิกฤติ

ย้อนประวัติ พล.ต.ท.ปัญญา เกิดอัมพวา สมุทรสงคราม เริ่มชีวิตวัยเรียนที่โรงเรียนวิริยะวิทยา ต่อมัธยมศึกษาโรงเรียนอัมพวันวิทยาลัยแล้วเข้ากรุงมาจบอำนวยศิลป์ ตัดสินใจสอบเข้าเตรียมทหารด้วยความหวังจะเป็นนักเรียนนายเรือ แต่พ่อกลับจับโยกเข้าเหล่าตำรวจเป็นนักเรียนนายร้อยสามพรานรุ่น 24 ร่วมรุ่น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส  พล.ต.ท.ธานี ทวิชศรี พล.ต.ท.ถาวรศักดิ์ เทพชาตรี พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี และพล.ต.ต.วัจนนท์ ถิระวัฒน์

เริ่มต้นบรรจุเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอกาญจนดิษฐ์  จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ 2 ปี ย้ายเป็นผู้บังคับหมวดโรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา ได้ลูกศิษย์ลูกหามากมาย มีเพื่อนฝูงมากล้น เพราะอยู่นานถึง 7 ปี ก่อนขึ้นสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต เข้าไปอยู่คณะทำงานสืบสวนสอบสวนคดีสังหารโกโหลน พ่อค้าแร่ดีบุก ที่ถูกมือปืนยิงตายพร้อมนายปรีดี สุจริตกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต ตามคำสั่ง พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ

พล.ต.ท.ปัญญาเล่าว่า ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์เกิดจากความขัดแย้งธุรกิจแร่เถื่อนที่โกโหลนร่วมลงทุนกับผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง มือปืนของผู้มีอิทธิพลที่ใช้จ้างวานฆ่ากันเป็นตำรวจลูกศิษย์เราเอง ชุดทำงานแกะรอยกัน 5 เดือนกว่าจะรู้อะไรเป็นอะไร คนร้ายที่ยิงไม่รู้ว่าเป็นหัวหน้าผู้พิพากษา คิดว่าเป็นคนขับรถโกโหลน

“หัวหน้าศาลคนนี้ ผมก็รู้จัก ก่อนตายไม่กี่วัน เพิ่งคุยกัน ผมตีเทนนิสอยู่คอร์ตหน้าบ้านเขา พอช่วงพัก เขาเรียกผมไม่คุยแนะนำให้รู้จักโกโหลน เขาว่า ตำรวจรู้จักโกโหลนหมด แต่ผมไม่รู้จัก เพราะผมไม่ยุ่งกับใคร มีหน้าที่สอบสวนอยู่โรงพัก อีก 3 เดือนเขากำลังจะย้ายไปศาลนครปฐม โกโหลนเลยจะพาไปเที่ยวไหว้พระแล้วยังชวนผมด้วย ผมเห็นว่าง่านยุ่งเลยปฏิเสธ ถ้านั่งไปด้วยกันวันนั้นคงตายเหมือนกัน” พล.ต.ท.ปัญญาเผยเบื้องหลังคดีดังสะท้านเกาะภูเก็ตเมื่อ 30 ปีก่อน

อดีตชุดสืบสวนสอบสวนคลายปมได้เรียกตำรวจที่เป็นลูกศิษย์มาซัก เพราะเห็นเป็นมือปืนประจำตัวผู้กว้างขวางจังหวัดภูเก็ตที่เป็นคู่กรณีกับโกโหลนผู้ตาย “ผมขู่มันว่า มึงลูกศิษย์กู กูไม่ฆ่ามึงหรอก แต่มึงต้องมันสาบานว่าจะไม่โกหกแล้วเล่ามาให้ฟังทั้งหมด ซักมันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมีใครอยู่ในทีมสังหารบ้าง มันบอกหมด แต่มันไม่ได้ยิง แค่ไปรับมือปืน ผมก็ว่า ถ้าเอ็งไม่ได้ยิงไม่มีอะไรหรอก แต่เอ็งมีส่วนกระทำความผิด ข้อกฎหมายพอจะช่วยกันได้ ปรากฏว่า มันเล่าจนเครียด ขออนุญาตเข้าห้องน้ำ ดันจะไปผูกคอตาย ดีที่ช่วยไว้ได้ทัน ด้วยความที่มันเครียด คิดหนัก ฝั่งนี้ คืออาจารย์ อีกฝั่งเป็นญาติ เป็นผู้มีพระคุณ”

อยู่ภูเก็ตพิชิตคดีสำคัญได้ปีเดียว พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ ย้ายเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธร 4 ปรับทีมย้ายแบกยกกระบิ เอา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ลูกชายมานั่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ส่วนสารวัตรปัญญาเด้งไกลเป็นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไม่นานเริ่มมีปัญหาการก่อการร้ายในจังหวัดยะลา เขาเลยถูกโยกเป็นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองยะลา เพราะผู้บังคับบัญชามองว่า มีลูกศิษย์เยอะ รู้จักคนแยะ และชำนาญพื้นที่น่าจะคุมสถานการณ์ได้

เจ้าตัวว่า นายบอกให้อยู่ปีเดียวแล้วจะเลื่อนตำแหน่งให้ ปรากฏพอถึงเวลาหาคนแทนไม่ได้ให้เราอยู่ต่อ ชีวิตลำบากพอสมควร ลูกเมียก็อยู่กรุงเทพฯ มีอยู่วันเมียไปเยี่ยม คืนนั้นเรากลับมาตี 3 เข้าบ้านโดนวางระเบิดหน้าบ้านเลย โชคดีห่างไปไม่ไกล ไปโดนบ้านอัยการพัง โจรกะมาวางบ้านเรา แต่บ้านเรามีหมา พวกนั้นกลัวหมาเลยต้องไปวางที่อื่นแทน อัยการเป็นมุสลิมบอกไม่เกี่ยว เราก็รู้ว่า เป้าหมาย คือเราเพราะเป็นช่วงเวลากลับเข้าบ้านพอดี “ตอนนั้น ผมเริ่มวางนโยบายการแก้ปัญหาต้องมีมวลชนสำคัญที่สุด พยายามให้ประชาชนเป็นพวกเรา แม้จะมีเหตุเกิด แต่เขาสามารถอธิบายได้ว่า กลุ่มไหน ช่วงนั้นโจรก่อการ

ครบ 2 ปี เขาย้ายเป็นรองผู้กำกับการนโยบายและแผน กองบังคับการอำนายการ กองบัญชาการตำรวจภูธร 4 ห่างครอบครัวมานานขอทำเรื่องย้ายกลับกรุงเทพฯ คำสั่งออกไปลงเป็นรองผู้กำกับการโรงเรียนตำรวจภูธร 9 แต่ตัวไปช่วยราชการกรมตำรวจ กระทั่งขึ้นผู้กำกับการโรงเรียนตำรวจนครบาล พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อธิบดีกรมตำรวจเรียกไปพบบอกว่า ไม่น่าอยู่กรุงเทพฯ จะให้ย้ายกลับลงไปนราธิวาส “ผมถามว่า ทำไมต้องเป็นผม ทำไมไม่เลือกคนอื่น ท่านว่า ดูคนอื่นแล้วสู้ผมไม่ได้ ยิ่งคนเก่ายิ่งสู้ไม่ได้ เถียงกันอยู่ 7 วันเรียบร้อย คำสั่งออกเป็นรองผู้บังคับการหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส นี่แหละชีวิตผม”

สถานการณ์ตอนนั้นโจรก่อการร้ายเริ่มเผาโรงเรียนวอดวายไป 36 โรง เป็นขบวนการรุ่นใหม่ มีการเมืองผสมโรงด้วย พล.ต.ท.ปัญญาบอกว่า  ท่านประทินกำชับต้องจับให้ได้ เราก็ลงไปประกาศเข้มอย่าให้มีการเผาโรงเรียนเด็ดขาด เหนื่อยพอสมควร ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน อยู่ที่นั่น 1 ปีเต็ม ๆ ไม่มีเหตุเผาโรงเรียนเกิดขึ้นอีก เราใช้วิธีมวลชนบวกกับขยันลงตรวจพื้นที่ เยี่ยมตามโรงพัก ถ้าเผาก็ต้องรู้ว่าใครเผา แม้จับโจรไม่ได้ แต่รู้ว่ากลุ่มไหน มันหนีเข้าประเทศเพื่อนบ้านหมด เราก็ประกาศไว้ ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะยิงกับมัน

ผ่านไปปีเดียว โครงสร้างกรมตำรวจปรับใหม่ให้ผู้บังคับการทำหน้าที่คุมภูธรจังหวัด พล.ต.ท.ปัญญาเลยคืนกรุงกลับมาเป็นรองผู้การกองปราบปรามแบบไม่รู้ตัว เขาเล่าติดตลกว่า ความที่เชยแบบตำรวจบ้านนอกไปรายงานตัวที่สามยอดยังตกใจ ทำไมที่ทำงานรื้อไปหมดแล้ว ถามคนแถวนั้นถึงรู้ว่า กองปราบปรามย้ายไปอยู่ตรงพหลโยธินข้างแดนเนรมิตแล้ว อยู่กองปราบปรามนาน 4 ปี คุมงานบริหาร ไม่ได้ยุ่งงานปราบปรามอะไร เราตำรวจบ้านนอก ที่นั่นมีมือดีเยอะ ตั้งแต่ จุมพล มั่นหมาย ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา อัศวิน ขวัญเมือง ไม่มีใครรู้จักปัญญา เทียนศาสตร์

ถัดจากนั้น เขาก็ย้ายไปเป็นรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ทำสำนวนคดีราเกซ สักเสนา ร่วมกับเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ โกงเงินธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ แล้วไปเป็นรองผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยวระหกระเหินลงใต้อีกระลอกเป็นรองผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 9 คราวนี้ พล.ต.ท.ธวัชชัย จุลสุคนธ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 มองเห็นฝีมือจึงจับไปช่วยราชการรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี

“ท่านธวัชชัย บอกอ่านประวัติผมแล้ว ไม่น่ามานั่งตรงนี้เลยส่งให้ไปช่วยที่ปัตตานี สถานการณ์เริ่มแรงแล้ว ผู้การคนเก่าเอาไม่อยู่ ผมลงปัตตานีไม่นาน ก็มีคำสั่งสำรองราชการผู้การแล้วให้ผมรักษาการแทนก่อนเป็นผู้การเต็มตัว พอสัมผัสเที่ยวนี้รู้สึกเลยว่า สถานการณ์ใต้เอาไม่อยู่แล้ว ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมต้องบอกผู้บัญชาการต้องหาคนเก่งมาช่วย มีผมขอสัมภาษณ์อธิบายวิธีการสืบสวนโจรก่อการร้ายทำอย่างไร  มันเริ่มต้นจากท่านต้องมีมวลชนก่อน ถ้าอย่างนั้นไม่มีทางสืบสวนเองได้ และถ้าเราไม่รู้ภาษามาลายู หรือภาษายาวี ก็ทำไม่ได้ เพราะสื่อสารกับเขาไม่ได้ อย่างผมต้องไปเรียนช่วงลงใต้ครั้งแรก”อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีเปิดมุมมอง

เขายังบอกว่า พยายามคุยกับลูกน้องให้มาช่วยกัน เราก็ไม่ได้เก่งอะไร สมัยเราอยู่มันอีกแบบ นี่ขึ้นบทเรียนที่ 3 แล้ว แต่พอเราอยู่แป๊บเดียวก็เข้าใจ มวลชนต้องหนักกว่าเดิม การให้ความธรรม การกดขี่ข่มเหงประชาชนต้องเลิก ที่สำคัญเพราะอยู่กันสบายเกินไปปัญหาถึงลุกลาม ตอนไปอยู่ปัตตานีใหม่ ๆ ยังบอกผู้ว่าฯเลยว่า ทำไมศุกร์เย็นข้าราชการหายไปไหนกันหมด กว่าจะมาก็วันจันทร์สาย ถ้ามีเหตุเกิดขึ้นวันหยุดจะทำอย่างไร ถือว่าข้าราชการตอนนั้นหย่อนยานมาก สบายเกินไป ต้องปรับยุทธวิธีใหม่หมด ทั้งฝ่ายตำรวจ และฝ่ายปกครอง

พอเริ่มกลับมาใช้มาตรการเข้ม พล.ต.ท.ปัญญาเล่าว่า โจรเริ่มลองดี จากยิงครู เรียกค่าคุ้มครอง จับคนเรียกค่าไถ่ที่เป็นยุทธวิธีของการก่อการร้ายเบื้องต้น มันกลับมาปล้นร้านทอง ปล้นบริษัทโค้กหาดทิพย์ปัตตานี ชนิดที่รองนายกรัฐมนตรีมาด่าเรากลางที่ประชุม หาว่าผู้การไม่สนใจ เราเลยขอเวลา 3 เดือนคลี่คลายคดี ที่สุดก็จับคนร้ายได้เป็นโจรก่อการร้าย ตามขับรถไล่ยิงกันจนได้หลักฐานสำคัญเชื่อมโยงขบวนการเป็นโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องนำไปสู่ปฏิบัติการบุกค้นบ้านจับกุมนายอับดุล คอเดร์ สาหะ เจ้าของโรงเรียนสอนศาสนา พร้อมของกลางระเบิดแสวงเครื่องมากมายที่มันซุกอยู่

นายอับดุล คอเดร์ สาหะ ถือเป็นหัวคะแนนคนสำคัญของนักการเมืองใหญ่ภาคใต้คนหนึ่ง หลังจนมุมมีการใส่ร้ายป้ายสีตำรวจจับแพะกลั่นแกล้งยัดของกลาง ถึงขนาดนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รองนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นต้องไปสอบปากคำด้วยตัวเองจนยอมเอ่ยปากชม พล.ต.ท.ปัญญาว่า เก่งมาก ซึ่งความที่เน้นมวลชนของเขายังทำให้ได้ข่าวแหล่งซุกซ่อนระเบิดที่เหลือของผู้ต้องหารายนี้อีกลอต

“เมียมันโทรไปคุยกับพรรคพวกผมให้มาเอาระเบิดที่ฝังในสวนด้วย กลัวผู้การปัญญามาค้น หาว่า ผมมาค้นหลายรอบแล้วไม่เจอ เพราะเอาการบูรโรยไว้หมาถึงดมไม่เจอ  ผมเลยเข้าไปหาคอเดร์ในเรือนจำ เบิกตัวมันมาคุยบอกไม่ต้องคิดมาก ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ผมจะพากลับเรือนจำแล้วไปค้นเอง ถ้าแบบนั้นเมียโดนจับด้วยนะ มันถึงยอมพาไปค้น เจอระเบิดอีกลอตใหญ่ฝังอยู่ใต้ดิน ผมถึงย้ำว่า มวลชนสำคัญมาก เวลามีอะไรเขาก็มาบอกผม”นายพลวัยเกษียณแนะหลักยุทธศาสตร์กำราบโจรก่อการร้าย

ถึงกระนั้นก็ตาม เหตุการณ์เริ่มปะทุรุนแรงจนต้องสังเวยชีวิตนายตำรวจระดับผู้กำกับการ และรองผู้กำกับการไปพร้อมกันทีเดียว 2 คน หลังเจ้าหน้าที่เปิดปฏิบัติการรุกหนักทลายเครือข่ายก่อการร้ายมูจาฮีดินอิสลามปัตตานีกลุ่มเดียวกับนายอับดุล คอเดร์ สาหะ ปิดล้อมบ้านเลขที่ 14/1 หมู่1 บ้านสุไหงปาแน ตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานี แต่คนร้ายใช้ปืนอาก้ายิง จ.ส.ต.รุ่งโรจน์ กาหมอ เสียชีวิต ส.ต.อ.นพ บัวศรี เจ็บสาหัส พล.ต.ท.ปัญญา เทียนศาสตร์ ขณะนั้นเป็นผู้การปัตตานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.มานิตย์ รัตนาวิน ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปัตตานี พ.ต.ท.มนตรี มูลพินิจ รองผู้กำกับปราบปรามโรงพักเดียวกันจึงนำกำลังตามไปสมทบ

คนร้ายฝ่าวงล้อมยิง พ.ต.อ.มานิตย์ และพ.ต.ท.มนตรี เสียชีวิตคาที่ ต่อหน้า พล.ต.ท.ปัญญา เวลาไล่เลี่ยกันนั้น พ.ต.ท.เอกภพ ประสิทธิพัฒนชัย รองผู้กำกับการปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทลุงช่วยราชการภูธรจังหวัดปัตตานี ยกกำลังมาเสริมเกิดปะทะกันอีกระลอกเลยถูกยิงเจ็บอีกนาย ก่อนที่คนร้ายนายมาหามะ แมเราะ หัวหน้ากองกำลังมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีจะโดนจับตาย

นาทีแห่งความตึงเครียดวันนั้น พล.ต.ท.ปัญญาไม่เคยลืมการสูญเสียลูกน้องฝีมือดีพร้อมกันถึง 3 นาย “ผมคิดว่า เราจะเอาอยู่อย่างไร ก็บอกกับรัฐบาลว่า ต้องปรับกำลัง ปรับพื้นฐานกันใหม่ ถ้าเป็นแบบนี้เอาไม่อยู่แน่ หลักการยิงกันก็ต้องมีเจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่ยุทธวิธีต้องปรับ ปรับอาวุธที่ต้องใช้ ตำรวจทุกคนต้องฝึกกันใหม่ โจรยิงมาเข้ากบาลตำรวจ แต่เรายังยิงโจรไม่ถูกเลย ต้องพูดกันแบบลูกทุ่งแล้ว ตำรวจถึงเข้มขึ้น โจรเปลี่ยนยุทธวิธี ผมเรียกผู้พันทหารมาคุยเลยว่า มันยิงกะอั๊วแล้วนะ ต่อไปมันจะยิงพวกลื้อให้ระวังไว้ เพราะตำรวจระวังตัวมากขึ้น พอต้นปี 47 ค่ายทหารถูกปล้นปืน จากนั้นก็รุนแรงขึ้นถึงทุกวันนี้”

อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ฝากแง่คิดให้ศึกษาว่า โจรมีแรงขึ้นเยอะ ยุทธวิธีตำรวจต้องเปลี่ยนและปรับกำลังใหม่ ครั้งนั้นถึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า จังหวัดยะลา มีอดุลย์ แสงสิงแก้ว ลงไปคุม ก่อนปรับโครงสร้างเป็นกองบัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ “มันฝึกระบบกันใหม่หมด ตั้งรับอย่างเดียวไม่ได้ ต้องออกไปยิงกับมันบ้าง อย่างผมไม่ได้กลับบ้านอยู่ที่นั่นยาว เวลาว่างก็ออกไปไล่ยิงโจรบ้าง ยิงจนเกษียณอายุราชการ ณ วันนี้ ผมอยากบอกว่า ต้องทำงานมวลชนให้ได้ เท่ากับเราได้รักษาพื้นที่เอาไว้ส่วนหนึ่ง ต้องครองใจคนให้ได้ ขณะที่กำลังในพื้นที่ต้องฝึกฝนให้หนักเพื่อเตรียมความพร้อมตลอดเวลา ถ้ามีมวลชน มีความพร้อมอาจจะมีความยุ่งยากนิดหน่อย แต่ผมเชื่อว่าสำเร็จ”

“อีกส่วนเป็นปัญหาระหว่างประเทศที่ต้องหารือกัน ผู้ก่อการร้ายหลายคนอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ร่วมมือจริงจัง ผมเคยไปอุ้มโจรจากมาเลเซียกลับมาดำเนินคดีประเทศไทย เขารู้ทั้งประเทศมาเลเซีย มันกองกันอยู่กัวลาลัมเปอร์ไป 2 เที่ยว อีกเที่ยวโดนบล็อก เพราะผมต้องการอุ้มประธานโจร หลังได้ข่าวมันจะมาวางระเบิดวันลอยกระทงในพื้นที่ภาคใต้ รัฐบาลสมัยหนึ่งถามว่า ผมจะทำอย่างไร ผมเลยเสนอให้อุ้มหัวหน้าโจรที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้านจะได้เลิก เป็นขบวนการมูจาฮีดินอาศัยอยู่รัฐหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน”นายพลมือปราบเก่าย้อนอดีตแนวคิดระห่ำ

“ ผมเข้าไปเลย ไปหาแนวร่วมที่นั่น ผู้กำกับตำรวจที่โน่นคุยกันอยู่ 3 วันถึงยอมไปเอาตัวมาให้ ได้ลูกน้องมันมา เขาขอดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองที่มาเลเซียแล้วจะส่งกลับมาเมืองไทย ส่วนเป้าหมายหนีทัน พอเช้ามือรถสายตรวจตำรวจมาเลเซียอีกชุดมาล็อกรถผมเลย ลือกันทั่วประเทศว่า ปัญญา เทียนศาสตร์ ถูกจับในมาเลเซีย โชคดีกงสุลไทยเจรจาผ่านไปได้ ผมทำเพื่อให้ฝั่งนั่นเห็นว่า เราก็บุกข้ามไปได้ ถ้าคิดจะทำอะไรเราไม่กลัว กูรู้นะ ถ้ามึงรบกับกูเถื่อน ๆ กูก็เอามึงเถื่อน ๆ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ใช่มานั่งยกมือไว้มึงอย่ายิง อย่ายิงนะ” เขาแฉเบื้องหลังพร้อมย้ำว่า ปัญหาภาคใต้ลึกลับซับซ้อนมาก บางทีพวกนั้นถึงขั้นส่งเอสเอ็มเอสเข้าโทรศัพท์มือถือสั่งให้ขบวนการในฝั่งไทยยิงตำรวจเลย มันถึงแก้ลำบาก

ปัญญา เทียนศาสตร์ !!!

 

 

RELATED ARTICLES