พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (บช.ภ.2) พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมแถลงข่าว ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มี “บอสชาวจีน” สั่งการ ออกหมายจับเครือข่าย 33 ราย จับได้แล้ว 20 รายพบเหยื่อแจ้งความออนไลน์แล้ว 1,009 ราย อายัดเงินคืนได้เบื้องต้นมากกว่า 3 ล้านบาท
พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า กรณีนี้มิจฉาชีพทักแชตไลน์เข้ามาตีสนิทเศรษฐินีใน จ.ระยอง ลวงโหลดแอปพลิเคชันผ่านลิงก์ ชวนลงทุนเปิดร้านค้าในแอปฯ TikTok ที่ทำปลอมขึ้นมาล่อลวง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีอยู่จริง เหยื่อสูญเงินเฉียด 60 ล้านบาท ต่อมาตำรวจสืบภาค 2 สืบสวนขยายผลพบเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติขนาดใหญ่ สามารถออกหมายจับเครือข่าย 33 ราย จับได้แล้ว 20 ราย
จากการสืบสวนพบเครือข่ายนี้มีบัญชีม้า 2 แถว แล้วโอนไปยังแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Orbix, Gulf Binance, BitKub ซื้อเหรียญประเภท USDT แล้วโอนต่อไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลของเครือข่ายจนหมด โดยตำรวจสอบสวนออกหมายจับบัญชีม้าแถวแรก 31 ราย จับกุมได้แล้ว 20 คน และออกหมายจับ “ม้ากดเงิน” หรือพนักงานกดเอทีเอ็ม 2 คน จับได้แล้ว 1 คน และสืบสวนพบบัญชีม้าแถวที่ 2 จำนวน 51 บัญชี อยู่ระหว่างการตรวจสอบวิเคราะห์ กระทั่ง ตำรวจภูธรภาค 2 สามารถจับกุม นางสาวพร อายุ 23 ปี เป็นบุคคลบนพื้นที่สูง ทำหน้าที่ ม้ากดเงินขณะข้ามแดนจากเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา มากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มบริเวณตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว สอบสวนทราบว่าได้รับคำสั่งให้มากดเงินนำไปให้ “บอสชาวจีน” เนื่องจากมีเงินค้างในบัญชีม้า สาเหตุจากการจำกัดวงเงินโอน ทำให้โอนได้ไม่เกินวันละ 5 ล้านบาท แต่มียอดโอนเข้ามาเกิน จึงต้องข้ามแดนมากดเงินสดออกไปให้หมด
“แก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้ แบ่งออฟฟิศเป็น 2 ส่วน คือ 1.ออฟฟิศหลอกลวง 2.ออฟฟิศสแกนหน้าบัญชีม้า ซึ่งออฟฟิศหลอกลวง ตั้งอยู่ฝั่งปอยเปตเป็นตึกปิดตาย อาทิ ตึก 25 ชั้น, ตึก 18 ชั้น และตึก Hiso ส่วนออฟฟิศสแกนหน้าที่อยู่ด้านในตึก จะทำหน้าที่บริหารบัญชีม้า จัดหาบัญชีม้า เปิดบัญชีคริปโทเคอร์เรนซี รับโอนเงินจากการหลอกลวง โอนเงินจากบัญชีม้าแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล ออฟฟิศสแกนใบหน้าแบ่งออกเป็นสัดส่วน เช่น บริเวณพักคอย, ที่พักรอเรียกสแกนหน้าและบริเวณที่นอนซึ่งบัญชีม้าจะต้องมานอนรวมกันเพื่อรอเรียกไปสแกนหน้า บัญชีม้าเหล่านี้จะถูกขบวนการพาข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติไปอยู่ในความควบคุมในออฟฟิศสแกนหน้า ซึ่งหากไม่มีบัญชีม้าข้ามไปสแกนหน้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะไม่สามารถดำเนินกิจการได้ และจากการที่ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องกดดัน สกัดการลักลอบข้ามแดนชายแดนจังหวัดสระแก้วอย่างหนักในช่วงนี้ ทำให้เครือข่ายนี้หลบเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น และจากการติดตามจับกุมบัญชีม้าแก๊งนี้พบว่ายังมีออฟฟิศบัญชีม้าอยู่ในพื้นที่ คิงส์โรมัน สปป.ลาว ตรงข้ามสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จว.เชียงราย อีกแห่งหนึ่งด้วย มีทั้งออฟฟิศหลอกลวง และออฟฟิศสแกนใบหน้า” ผบช.ภ.2 กล่าว
พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบบัญชีม้าในกรณีนี้ เชื่อมโยงกับคดีอื่น ๆ จำนวน 1,009 เคสไอดี โดยรูปแบบคล้ายคลึงกันคือสุดท้ายโอนไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีเหยื่อรายนี้ จากการดำเนินการที่รวดเร็วสามารถอายัดเงินในบัญชีม้าที่ผู้เสียหายโอนเงินไปได้ จำนวน 3,184,223.91 บาท ซึ่งจะได้ประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อดำเนินการคืนเงินให้กับผู้เสียหายต่อไป
พล.ต.ท.ยิ่งยศฯ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ได้เร่งรัดขยายผลติดตามจับกุมดำเนินคดีกับเครือข่ายและผู้เกี่ยวข้องต่อไป และขอให้คนไทยที่คิดจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะมีความผิดตามกฎหมาย นอกจากความผิดเรื่องคอลเซ็นเตอร์แล้วยังมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ด้วยการหลอกประชาชนทั่วไป โดยแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดความจริงเพื่อเอาทรัพย์สินคนอื่น ซึ่งอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, ความผิดฐานฟอกเงิน อัตราโทษ จําคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และอาจเป็นความผิดฐานมีส่วนร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 4 ปีถึง 15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 80,000 บาทถึง 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และตำรวจภูธรภาค 2 มีความมุ่งมั่นที่ปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในทุกมิติอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป