พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร., พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์รวบแก๊งไทยเทา ร่วมแอฟริกันตะวันตกลวงข้ามชาติหลอกบริษัทดังในญี่ปุ่นโอนเข้าไทยกว่า 228 ล้าน
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญงานติดตามและสืบค้นการทุจริตอาวุโส ธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันทุจริต โดยฝ่ายระบบ swift (ระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ) ของธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย ว่า ธนาคารชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ได้พบบัญชี Fraud (การฉ้อโกงทางการเงิน, การฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต (Cyber Fraud) ) ผ่านหน่วยเงินโอนต่างประเทศ
จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ได้มีคำสั่งโอนเงินไปที่บริษัทคู่ค้าแห่งหนึ่ง เพื่อทำการค้าระหว่างกัน แต่บริษัทชื่อดังดังกล่าว ได้ถูกหลอกลวงให้โอนเงินเข้ามาที่บัญชีธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย ชื่อบัญชี บริษัทคู่ค้าดังกล่าว ในประเทศไทยเป็นเงินจำนวน 228,543,909.28 บาท
จากการสืบสวนพบว่า นายวีรกานต์ ได้ถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของบริษัทคู่ค้าแห่งหนึ่ง ในประเทศไทย จำนวน 3 ล้านบาท และเวลาต่อมาได้ถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวอีกครั้งเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท โดยภายหลังธนาคารได้รับแจ้งว่าเป็นบัญชีที่ได้รับโอนเงินจากการกระทำการผิดกฎหมาย จึงได้อายัดและประสานงาน บช.สอท. เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ต่อมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.1 บก.สอท.1 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดสืบสวนกรณีดังกล่าว กระทั่งพบข้อมูลว่าบริษัทคู่ค้า ตั้งอยู่ในพื้นที่ ถ.เคหะร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม. ได้จดทะเบียนนิติบุคคลประเภท บริษัท ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจขายส่งยานยนต์เก่า โดยมีคณะกรรมการ 3 ราย ได้แก่ นายวีรกานต์, นาวสาววิลัยพร, และนายอนุชา โดยมิจฉาชีพ ได้ให้ผู้ต้องหากลุ่มนี้ปลอมอีเมลให้คล้ายชื่อบริษัทคู่ค้า จากนั้นได้แจ้งเจ้าหน้าที่ของบริษัทญี่ปุ่นว่า บริษัทของตนเปลี่ยนบัญชีรับโอนเงิน เมื่อเจ้าหน้าที่บริษัทญี่ปุ่นหลงเชื่อ จึงได้โอนเงินให้กว่า 228 ล้านบาท หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับกรรมการบริษัททั้ง 3 ราย
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.1 ได้สืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พบหลักฐานว่า Mr.Annest Onyebuchi มีภรรยาชาวไทยชื่อ น.ส.พิญญานันท์ โดยชาวไนจีเรียคนดังกล่าวเป็นผู้ใช้ให้นายวีรกานต์ฯ ไปเปิดบริษัทต่างๆ และเปิดบัญชีธนาคารเป็นชื่อบริษัทดังกล่าวก่อนหน้านี้ จนนำไปสู่การจับกุมตัว น.ส.พิญญานันท์ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเบิกเงินร่วมกับ นายวีรกานต์ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้
เบื้องต้น น.ส.พิญญานันท์ ยอมเปิดเผยข้อมูลว่า ก่อนมีการโอนเงินจำนวนกว่า 228 ล้านบาทเข้ามา Mr.Annest Onyebuchi สัญชาติไนจีเรีย สามีของตนเอง ได้เป็นผู้ส่งข้อมูลภาพใบแจ้งหนี้ของบริษัทคู่ค้า มาให้ตนเองผ่านแอปพลิเคชัน WhatsApp และได้ส่งภาพดังกล่าวให้ นายวีรกานต์ฯ เพื่อปรินต์แล้วนำไปประกอบเพื่อยืนยันกับธนาคารในการถอนเงิน
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจพบหลักฐานว่า นายวีรกานต์ ได้เตรียมนำฝากเงิน จำนวน 100 ล้านบาท ไปยังบัญชีธนาคารของบริษัท มิลเลียน มิกซ์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนประกอบกิจการค้า วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง โดยมีนายภูริพัฒน์ และนายสุเมศย์ เป็นกรรมการบริษัท จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับเพิ่มอีก 3 ราย ได้แก่ Mr.Annest Onyebuchi ชาวไนจีเรีย, นายภูริพัฒน์ และนายสุเมศย์ ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.1 ได้นำกำลังเข้าตรวจค้น บริษัท มิลเลียน มิกซ์ จำกัด (ปัจจุบันมีป้ายชื่อเป็นบริษัท ฟู้ดไซเบอร์ จำกัด) ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 13 ของอาคารแห่งหนึ่ง ถนนพระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม. สามารถจับกุม นายภูริพัฒน์ และตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีเงินฝาก และเอกสารสำคัญต่างๆ
เบื้องต้น นายภูริพัฒน์ฯ ให้การว่าได้รู้จักสนิทสนมกับชายผิวสีรายหนึ่ง ชื่อ Mr.Ibrahim สัญชาติกาน่า โดยติดต่อคุยกันผ่านแอปพลิเคชัน WhatsApp ต่อมา Mr.Ibrahim ได้แชทมาหาตนว่า ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ประเทศไทยจึงให้ช่วยรับเงิน ที่โอนตรงจากบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เมื่อรับโอนเงินเรียบร้อยแล้ว Mr.Ibrahim จะจ่ายเงินให้ตนเอง เป็นส่วนแบ่งจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่รับโอน ตนเองจึงแจ้งว่าต้องให้ทางบริษัทญี่ปุ่นติดต่อตนเองโดยตรงเท่านั้น ต่อมา Mr.Ibrahim ได้ขอยกเลิกไปโดยไม่มีเหตุผล
ภายหลังการโอนเงินดังกล่าวเกิดขึ้นและมีการจับกุมผู้ต้องหาชุดแรกไปแล้ว Mr.Ibrahim ได้แชทมาบอกว่าตนเองว่า ห้ามเอ่ยชื่อถึง Mr.Ibrahim และให้ลบแชทการสนทนาระหว่างตนเองกับ Mr.Ibrahim ใน WhatsApp ออกให้หมดแต่ตนเองยังไม่ทันได้ลบ กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมในครั้งนี้เสียก่อน
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ร่วมกันเปิด หรือยินยอมให้บุคคลอื่น ใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้ หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดอาญาอื่นใด, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและได้ลงมือกระทำความผิดร้ายแรงตามวัตถุประสงค์ขององค์กรอาชญากรรมนั้น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ และซ่องโจรและได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร”
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์ข้อมูลในโทรศัพท์มือถือและเอกสารต่างๆ ที่ตรวจยึดได้ขณะเข้าตรวจค้น และอยู่ระหว่างการประสานงานระหว่างประเทศเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาชาวไนจีเรีย และบุคคลในขบวนการที่ยังหลบหนีเพื่อนำกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ในส่วนพฤติการณ์ในการหลอกลวงโดยละเอียด บช.สอท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นดังกล่าว เพื่อนำข้อมูลมาศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อใช้ป้องกันการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในอนาคตต่อไป