จากกรณีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.20 น.ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวโดยมีจุด ศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมาร์ แรงสั่นสะเทือนถึงประเทศไทยและในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งผลทำให้อาคาร ก่อสร้างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร มีความสูง 30 ชั้น ทรุดตัวถล่วงมลงมา เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และ เสียชีวิตจำนวนมากนั้น
ล่าสุดพล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ได้แต่งตั้ง พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองหัวหน้าคณะสอบสวนในคดีดังกล่าว
จากการตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งเอกสารและพยานบุคคล พบว่าแบบแปลนการก่อสร้างไม่สอดคล้องกับกฎกระทรวง และ มาตรฐานกลุ่มกำแพงปล่องลิฟต์ของอาคาร ไม่ได้อยู่ตรงกลางอาคาร แต่ชิดขอบด้านหลัง ทำให้ศูนย์กลางของการบิดตัวของอาคารเยื้องไปจากศูนย์กลางอาคาร เมื่ออาคารแกว่งตัวจากแผ่นดินไหว ทำให้กำแพงปล่องลิฟต์และเสาที่ฐานถล่มเกือบพร้อมกัน ทำให้อาคารทั้งหลังตกลงมาในแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว
ส่วนผลตรวจปูนซีเมนต์ ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ว่ามีมาตรฐาน ตรงตามค่า KSC ซึ่งเป็นหน่วยวัดมาตรฐาน ที่ใช้วัดความแข็งแรงของคอนกรีต ผลการตรวจพบว่า ความแข็งแรงของคอนกรีต ไม่ได้มาตรฐานตามค่า KSC และการตรวจสอบเหล็กเส้นที่เก็บได้จากอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินพบว่า มีบางส่วนไม่เป็นไปตามแบบเช่นกัน จากการตรวจลายมือชื่อของ นายสมเกียรติ ชูแสงสุข ผู้เสียหายที่ถูกปลอมลายมือชื่อลงไป ในฐานะวุฒิวิศวกร จากกองพิสูจน์หลักฐานยืนยันว่า ตัวอย่างลายมือชื่อที่ส่งเปรียบเทียบ มีคุณสมบัติการเขียน รูปลักษณะของลายมือชื่อแตกต่างกันกับตัวอย่างลายมือชื่อของ นายสมเกียรติ ชูแสงสุข จึงลงความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของคนเดียวกัน
จากหลักฐานข้างต้นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนจึงได้แบ่งกลุ่มผู้กระทำความผิดออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการอันพึงกระทำมีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องและเป็นผู้กระทำความผิดดังนี้
กลุ่มที่ 1 บริษัทผู้ออกแบบ ประกอบด้วย บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และ บริษัท ไมนฮาร์ท (ประทศไทย) ทำสัญญาระหว่างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคล 1 ราย และมีกลุ่มวิศวกรผู้ลงนามในแบบแปลนซึ่งเป็นวิศวกรโครงสร้าง จำนวน 5 ราย
รวมผู้กระทำความผิดทั้งหมด 6 ราย
กลุ่มที่ 2 บริษัทผู้รับจ้างควบคุมการก่อสร้างกิจการร่วมการค้า PKW จำนวน 1 รายในฐานะส่วนตัว เนื่องจากเป็นผู้แทนลงนามในสัญญา ซึ่งทั้ง 3 บริษัท ตกลงยินยอมรับผิดร่วมกัน และ แทนกันต่อผู้ว่าจ้างในทุกกรณี โดย 3 บริษัท ประกอบด้วย
1.บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด
2.บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด
3.บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด
รวมผู้กระทำความผิดทั้งหมด 5 ราย
กลุ่มที่ 3 บริษัทผู้รับจ้างก่อสร้าง ประกอบด้วย 1.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
2.บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนกินการร่วมค้า
ITD-CREC รวมผู้กระทำความผิดทั้งหมด 6 ราย
อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ค้นพบแล้ว จำนวน 89 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 1 ราย ได้รับบาดเจ็บ 8 ราย สูญหาย 11 ราย จึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษให้ ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด 17 ราย ในฐานะนิติบุคคล และ ส่วนตัว ในฐาน “เป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือ ทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการอันพึงกระทำการนั้น ๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 , 238
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย ประกอบด้วย 1.นายสุชาติ ชุติปภากร อายุ 64 ปี 2.นายพิมล เจริญยิ่ง อายุ 85 ปี 3.นายธีระ วรรธนะทรัพย์ อายุ 59 ปี 4.นายสุพล อัครอารีสุข อายุ 51 ปี 5.นายชัยณรงค์ เสียงไพรพันธ์ อายุ 43 ปี 6.นายอภิชาติ รักษา อายุ 38 ปี 7.นายปฏิวัติ ศิริไทย อายุ 53 ปี 8.นายกฤตภัฏ ปล่องกระโทก อายุ 51 ปี 9.นายพลเดช เทิดพิทักษ์วานิช อายุ 56 ปี 10.นางปราณีต แสงอลังการ อายุ 63 ปี 11.นายสมชาย ทรัพย์เย็น อายุ 59 ปี 12. นายเปรมชัย กรรณสูตร อายุ 71 ปี 13.นางนิจพร จรณะจิตต์ อายุ 73 ปี 14.นายชวนหลิง จาง อายุ 42 ปี สัญชาติจีน 15.นายเกรียงศักดิ์ กอวัฒนา อายุ 65 ปี 16.นายอนุวัฒ คันษร อายุ 54 ปี 17.นายธิปัตย์ รัตนวงษา อายุ 43 ปี