ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม น.ส.บวรรัตน์ฯ อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 296/2568 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2568 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก ที่นำไปใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” เดินทางเข้า พบ พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., เพื่อขอมอบตัว หลังสามีถูกจับอยู่ในเรือนจำเพราะไม่อยากห่างสามี
ทั้งนี้ทราบว่าวันที่ 13 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายกฤตธีฯ ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสามีของ น.ส.บวรรัตน์ฯ ผู้ต้องหารายนี้ ในพื้นที่จ.อุทัยธานี ซึ่งขณะจับกุมนายกฤตธีฯ ผู้ต้องได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่จับตนเองไปด้วย และอ้างว่าตนก็น่าจะมีหมายจับพร้อมบอกว่าไม่อยากห่างสามี จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบหมายจับแต่อย่างใด ต่อมาหลังจากจับกุมตัวนายกฤตธีฯ เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า น.ส.บวรรัตน์ฯ ถูกออกหมายจับจริง และทราบว่า น.ส.บวรรัตน์ฯ ย้ายมาอยู่ใกล้เรือนจำ กระทั่งน.ส.บวรรัตน์ฯ ทราบว่า ตนเองมีหมายจับจึงติดต่อขอมอบตัวตามความประสงค์ที่ต้องการติดคุกและออกคุกมาพร้อมกับ นายกฤตธีฯ ผู้เป็นสามีแต่แรก และไม่ยอมให้การใด
สำหรับความผิดของ น.ส.บวรรัตน์ฯ ได้เปิดบัญชีม้าให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงผู้เสียหายว่า มีพัสดุต้องสงสัยที่ภายในบรรจุพาสปอร์ต และ สมุดบัญชีธนาคารของชาวเมียนมาจำนวนมาก รวมถึงบัญชีธนาคารที่ของผู้เสียหายด้วย อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินให้โอนเงินตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ รวมทั้งสิ้นกว่า 150,000 บาท ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
