“ผมไม่ใช่นักบิน ผมเป็นเพื่อนนักบิน และก็ไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะเหตุที่ป้องกันได้แบบนี้อีก”
พ.ต.ท.อนุวรรตน์ รักษายศ สารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี รำพึงรำพันถึงเพื่อนผู้จากไปอย่างกะทันหัน
โศกนาฏกรรมเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจตกในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นการบอกลาเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 68 ของเขาถึง 2 นายพร้อมกัน
เพื่อนเอก ร.ต.อ.ทรงพล บุญชัย และ เพื่อนจ็อบ พ.ต.ต.ประเทือง ชูเลิศ
การตายของเอกและจ็อบในครั้งนี้ เจ้าตัวขอร้องอย่างจริงใจให้ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองและประชาชน มอบเครื่องบินลำใหม่ ๆให้กับกองบินตำรวจ และขอให้ทบทวนปรับปรุงระบบ
“นักบินเก่าเครื่องบินใหม่ นักบินใหม่เครื่องบินเก่า“
เพื่อให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักบินตำรวจยังคงปฏิบัติช่วยเหลือประชาชนอยู่ ได้มีความปลอดภัยจากใช้เครื่องบินดีๆ และได้ใช้ “ม้าศึก” เครื่องบินประจำตัวของนักบินอย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ไม่ต้องมากลายเป็นร่างที่ไร้ชีวิตแบบเพื่อนผมเฉกเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้อีกได้ไหมครับ”
นายตำรวจหนุ่มเล่าว่า เอกเป็นมนุษย์ ชั้น Premium เกรด AAAA+++++++ ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นมากกว่านั้น เอกเป็นเหมือน พี่ชายที่คอยดูแลเอาใจใส่ เป็นพ่อที่คอยตักเตือนว่ากล่าวสั่งสอนในเรื่องการใช้ชีวิต เป็นครูอาจารย์ที่สอนทั้งวิชาชีวิต และวิชาการทำงาน
“ผมและเอกเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 52 และนักเรียนนายร้อยรุ่นที่ 68 แต่ใน 7 ปีที่ใช้ชีวิตในโรงเรียนนั้นแทบไม่ได้คุยกันเลย เนื่องจากเอกเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เป็นคนดีจากภายใน เป็นคนอารมณ์เย็น สุขุม คิดดี พูดดี ทำดี มีความสามารถอย่างยิ่ง มีความคิดอ่านที่มากกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน ส่วนผมมีนิสัยเป็นคนที่ค่อนข้างเกือบจะตรงกันข้ามกับเอกเลย”
กระทั่งเราทั้งสองคนจบการศึกษาและเลือกลงตำแหน่ง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจเมืองระนองพร้อมกัน และเลือกที่จะเช่าบ้านอยู่หลังเดียวกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “เพื่อนรัก” เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข
เอกชำนาญและมีความรู้ในงานสอบสวนมาตั้งแต่สมัยที่ฝึกงาน “ส่วนผมช่วงฝึกงานค่อนข้างเที่ยวเล่นไม่สนใจที่จะเรียนรู้งานสอบสวนเลย ดังนั้นความรู้เบื้องต้นเกือบเท่ากับ 0 ทำงานในช่วงเดือนแรกนั้นผมทำอะไรไม่เป็นเลย เครียดมากและมักต้องดื่มเหล้าทุกคืนเพื่อให้นอนหลับ”
แต่ยังมีไอ้หนุ่มคนนี้นี่แหละที่คอยช่วยสอน ช่วยประคับประคองอย่างใจเย็น จนสามารถทำงานได้บ้าง ทำงานได้ดี ทำงานได้ชำนาญ จนกระทั่งตอนนี้งานสอบสวนได้ซึมซับหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของไปเสียแล้ว
“หลังจากนั้นทุกปัญหาของชีวิตผมก็มีมันนี่แหละที่คอยซัพพอร์ตผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว และช่วยปรับนิสัยแย่ๆในช่วงวัยรุ่นของผม และเมื่อมีเวลาว่างก็มักจะชวนผมไปสวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ ปฏิบัติธรรมเสมอมา”
เขาบอกว่า ใช้ชีวิต ทำงาน กิน นอน เที่ยว ปฏิบัติธรรม กับเอกอยู่หลายปีกว่าจะแยกย้ายไปทำงานตำแหน่งของแต่ละคน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ชีวิต มุมมองชีวิต แลกเปลี่ยนปรัชญาการใช้ชีวิต และแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมด้วยกันมาโดยตลอด
เอกเป็นทั้งเพื่อนในทางโลกและทางธรรมของเขามาโดยตลอด ไม่ว่าเราจะห่างหายใช้ชีวิตส่วนตัวกันอย่างไร แต่ก็คอยติดต่อ ถามไถ่แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ชีวิตมาโดยตลอด
“มันบอกว่าภาคภูมิใจมากที่ผมเป็นตัวผมในวันนี้ ซึ่งแท้จริงแล้วที่ผมมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะมันนั่นแหละ มันคือร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นผู้ชี้ทางแก้ปัญหาให้ผมมาหลายต่อหลายครั้ง”
ทุกครั้งที่มีแพลนวางแผนตั้งเป้าที่จะทำอะไรจนกระทั่งในวันที่แผนที่วางไว้นั้นประสบความสำเร็จ มันคือ คนสำคัญคนแรกๆที่จะได้ฟังเรื่องราวอยู่เสมอ เขามักจะพูดกับเอกว่าที่ มีวันนี้ได้ก็เพราะเอกเลยนะ ทุกครั้งที่ได้เจอเอกจะบอกกับเอกแทบทุกครั้งว่า
ขอบคุณที่มาเจอกันและเป็นเพื่อนกัน
ก่อนที่เอกจะไปสอบเป็นนักบินตำรวจ เขาได้คัดค้าน ทัดทานเอกไปหลายต่อหลายครั้งว่า คนดีมีความสามารถแบบเอกเป็นตำรวจทั่วไปได้ไหม เพราะเอกจะเป็นกำลังสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยนะ อีกทั้งเครื่องบินตำรวจมันเก่ามากแล้วเสี่ยงมากด้วย แต่เอกก็ยังยืนกรานและบอกกับว่า เอกมองเห็นระบบบางอย่างของตำรวจที่ไม่เหมาะกับเอกเลย
ระบบบางอย่างที่สังคมเกลียดชังและเอกก็ไม่ชอบระบบเหล่านั้นเหมือนกัน เอกเลยขอเลือกเปลี่ยนเส้นทางสู่ “นักบินตำรวจ”
และแล้วเมื่อวันที่เอกมาปฏิบัติหน้าที่ภารกิจในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ให้พาเอกกับจ็อบไปทานข้าวนั่งคุยกันหน่อย
“ผมไปรับเอกและจ็อบมาพบลูกของผมภรรยาของผมที่เป็นหนึ่งในความสำเร็จในชีวิตของผมที่มีครอบครัวที่อบอุ่น เอกบอกว่ามีแพลนที่จะแต่งงานแล้วเหมือนกัน ส่วนจ็อบเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานก็ได้ปรึกษาเรื่องการวางแผนมีลูก”
ระหว่างทางบนรถ เขากำลังขับบนถนน ภรรยานั่งอยู่ข้างคนขับ มีเอกและจ็อบนั่งอยู่ด้านหลังพร้อมคุยเล่นกับลูกของเขาอยู่นั้น ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อนรักคนนี้เสมอหนึ่งในบทสนทนาของพวกเราคือ ได้ข่าวว่าไม่กี่วันที่ผ่านมามีเครื่องบินของตำรวจตก เอกและจ็อบเป็นอย่างไรบ้าง ขับเครื่องบินอันตรายไหม และคนที่ตายจากการปฏิบัติหน้าที่แบบนี้นั้น ญาติได้รับการชดเชยเยียวยังไงบ้าง
เขาและภรรยาก็ได้คำตอบว่า เครื่องบินที่ขับอยู่มีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปีเก่ามากแล้ว แต่เอกบอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะจ็อบมีฝีมือมากปลอดภัยแน่นอน
หลังจากทานข้าวเย็นกันเขาและภรรยาก็ขับขี่รถพาเอกและจ็อบไปส่งที่พักและยังแซวและบอกทั้งสองคนเลยว่า
“ขอให้ปลอดภัยนะขับเครื่องบินระวังด้วย เครื่องบินมันเก่ากว่าอายุพวกเราอีก แล้วเจอกันใหม่ไว้ไปทานข้าวด้วยกันที่กรุงเทพฯ อีกนะ”
ช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น ติดต่อโทรหาเอกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เอกปิดเครื่อง และอีกไม่นานได้รับข่าวร้ายอย่างที่สุดที่ต้องเสียเพื่อนคนสำคัญของผมไปแล้ว ไม่ได้ไปทานข้าวกับมันที่กรุงเทพฯ ตามที่นัดกับมันอีกแล้ว
เอกเคยบอกกับเขาว่า หากใช้ชีวิตอย่างดีแล้วในแต่ละวัน เมื่อถึงเวลาตายไม่เสียดายกับการตายแน่นอน มันคือคนที่พูดดี คิดดี ทำดี เสมอมา และเชื่อว่าที่ผ่านมาเอกใช้ชีวิตมาอย่างดีแน่นอน
“อย่างน้อยในความเศร้าครั้งนี้ก็ขอบคุณมึงมากที่มาหากู มาหาครอบครัวของกู ให้กูเลี้ยงข้าวมื้อสุดท้ายและให้กูได้พูดขอบคุณมึงซ้ำๆอีกครั้งสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา กูขอบคุณมึงจริงๆจากใจ และเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยที่ได้เป็นทั้งเพื่อน เป็นน้องชาย เป็นลูก และเป็นลูกศิษย์ของมึงนะ กูจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างดี ช่วยเหลือผู้คน ใช้ชีวิตอย่างที่มึงแนะนำ เผื่อที่เมื่อถึงวันตายของกูจะได้ไม่เสียดายในการใช้ชีวิต อย่างที่มึงเป็นแบบอย่างให้กูมาโดยตลอด แล้วเจอกันใหม่นะเพื่อนรักคนสำคัญของกู”
กระนั้นก็ตามคืนก่อนตายที่เอกกับจ๊อบได้อยู่ต่อหน้าเขา ทั้งสองคนเล่าให้ฟังว่า เคยมีเหตุการณ์เครื่องขัดข้องและอยู่ในภาวะเกือบตายมาแล้วระหว่างการบินจากเครื่องบินประจำตัว คาดเดาได้ว่าคงเป็นเหตุการณ์ที่อันตรายจริงๆ
เป็นเหตุการณ์ที่จ๊อบสามารถรอดจากฝีมือยมทูตได้เกิดจากฝีมือในการบังคับเครื่องบินลงได้อย่างปลอดภัย
เอกเลยบอกว่า ”ถึงแม้เครื่องบินจะเสี่ยง แต่ไม่ต้องห่วง จ๊อบบินเก่งมาก ปลอดภัยแน่นอน“
เขาขอให้ความจริงได้ถูกเปิดเผย ขอให้การตายของเพื่อนทั้งสองคนของเขาได้เป็นโอกาสที่คนในหน่วยงานองค์กรการบินตำรวจจะได้ต่อสู้เพื่อตัวเขาเอง เพื่อครอบครัวของเขา และเพื่อคนที่เขารัก
หลังจากที่ต้องปิดปากกันมานาน
“ผมเล่าไปก็คงไม่มีใครเชื่อเพราะผมไม่ใช่นักบิน แต่ความเห็นจากนักบินซึ่งเป็นเพื่อนของผมที่ตายไป มันสื่อสารให้ผมเข้าใจอย่างนั้น”
คืนนั้นทั้งสองคนยังเล่าอีกว่า เครื่องบินที่ขับนั้นอันตรายและเสี่ยงกับชีวิตของคนที่ขับขี่ เขาไม่ได้รู้เรื่องเฉพาะทางของเครื่องบินเลย แต่เข้าใจได้ว่าสิ่งที่ทั้งสองคนสื่อและเสนอความเห็นมันคงเสี่ยงตายทุกครั้งที่ขึ้นบิน
ไม่ใช่เพราะความสามารถของนักบินที่อ่อนด้อย แต่ความเสี่ยงของตัวเครื่องบินประจำตัวเขานั่นเอง
ยังไม่ครบ 24 ชั่วโมงจากเรื่องที่เล่า เพื่อนก็จากไปจากสาเหตุที่ทั้งสองกังวลมาโดยตลอด
ใจของนักบินต้องกล้าหาญแค่ไหน แม้รู้ว่าจะเสี่ยงตายได้ทุกครั้งที่ต้องขึ้นบิน แต่ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถทุกภารกิจ
เจ็บใจแทนเพื่อนทั้งสองจริง ๆ