พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรวิทย์ ญาณจินดา ผบก.สปพ. พ.ต.อ.วสันต์ ธวัชชัยวิรุตษ์ ผกก.สายตรวจฯ พ.ต.ท.ไพบูลย์ สอโส รอง ผกก.สายตรวจฯ นำกำลังตำรวจ 191 บุกทลายรังแก๊งคอลเซนเตอร์ชาวเวียดนาม 27 ราย พร้อมของกลางจำนวนมาก ตั้งฐานหลอกลวงเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย มูลค่าเสียหายหลายล้านบาท
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ตำรวจ 191 ได้รับร้องเรียกจากประชาชนว่าพบกลุ่มชาวต่างชาติจับกลุ่มมั่วสุมกันเป็นจำนวนมาก ตำรวจสายตรวจ 191 จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและสืบสวนพบว่ามีบุคคลต่างด้าวเช่าบ้านจำนวน 2 หลัง ในหมู่บ้านหรูย่านชานเมือง และมีพฤติกรรมน่าสงสัยจึงได้ทำการขอหมายค้นเพื่อทำการเข้าตรวจสอบ โดยหลังแรกพบบุคคลต่างด้าว 18 ราย และ หลังที่สองอีก 9 ราย เป็นหญิง 5 ราย และ ชาย 22 ราย รวมทั้งสิ้น 27 ราย พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ 116 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 45 เครื่อง และยาเสพติด (เคตามีน) 5 กรัม
พฤติการณ์กลุ่มชาวเวียดนามดังกล่าวได้เดินทางมาจากเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม และเข้ามายังประเทศไทยช่วงเดือนตุลาคม 2567 โดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถอยู่ในราชอาณาจักรไทยได้เพียง 60 วัน และส่วนใหญ่จะเดินทางเข้าผ่านด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ก่อนที่จะจับกลุ่มกันเพื่อมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย
รูปแบบการหลอกลวงใช้แผนประทุษกรรมเดียวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ Romance Scam โดยเลือกกลุ่มเหยื่อเป็นชาวเวียดนาม สร้างโปรไฟล์ใช้รูปหน้าตาดี เป็นคนร่ำรวย ต้องการซื้อที่ดิน และประกอบอาชีพ ให้เหยื่อหลงเชื่อก่อนจะใช้คำหวานหว่านล้อมให้ตกหลุมรัก ก่อนจะหลอกให้โอนเงินตามภารกิจต่าง ๆ ที่วางไว้ ออกกลอุบาย อาทิ มีหนี้สินต้องชำระเพื่อให้เหยื่อเกิดความเห็นใจและโอนเงินให้การช่วยเหลือ สำหรับช่องทางที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อผ่านแอปพลิเคชัน “Zalo” ซึ่งเป็นแชทไลน์ในประเทศเวียดนาม
จากการตรวจสอบพบว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานแต่ละเครื่องจะมีผู้ต้องหานั่งประจำทุกเครื่องและมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำงานโดยทั้งหมด 27 เครื่อง ซึ่งตรวจสอบข้อมูลพบว่าตั้งแต่ช่วงมีนาคม – ปัจจุบัน แต่ละเครื่องสามารถหลอกลวงได้ประมาณ 1,200 ล้านดองต่อเดือน ทั้งหมด 27 เครื่องอยู่ที่ 36,000 ล้านดองต่อเดือน รวมเป็นมูลค่าความเสียหายตีเป็นเงินไทยจำนวน 39 ล้านบาท
จากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ามีการเช่าบ้านตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม โดยทั้ง 2 หลัง เช่าหลังละ 30,000 – 40,000 บาท ซึ่งคนงานจะเข้ามาทำงานช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีรายได้อยู่ที่ 12,000 บาทต่อเดือน และหากหลอกได้สำเร็จจะได้เงินเพิ่มเติมประมาณ 25,000 บาท ต่อเดือนซึ่งผู้ต้องหาแต่ละคนจะแบ่งหน้าที่กันทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเชฟทำอาหาร ช่างไฟ ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์เมื่อเกิดปัญหาทันทีซึ่งจะมีการขยายผลต่อไป
อย่างไรก็ตามทางตำรวจได้มีการประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และ ศูนย์ปราบปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็น ผอ.ศูนย์ฯ เบื้องต้นตำรวจจึงนำตัวและของกลางทั้งหมดส่งให้ พนักงานสอบสวน สน.ลำผักชี เพื่อดำเนินดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป