ตำรวจสอบสวนกลาง X ตำรวจออสเตรเลีย บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ  ตั้งสำนักงานหลอกเหยื่อชาติเดียวกัน เสียหายกว่า 40 ล้านบาท

พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา รองผบก.ปทส., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, และ Ms.Kristie -Lee Cressy ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ Senior Officer Australian Federal Police. ตัวแทนจากเจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ Firestorm ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลงทุนข้ามชาติ มีเหยื่อเป็นชาวออสเตรเลียกว่า 14,000 ราย และสร้างความเสียหายรวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

สามารถจับกุมชาวต่างชาติ 13 ราย แบ่งเป็นสัญชาติออสเตรเลีย 5 ราย, บริติช 6 ราย, แคนนาดา 1 ราย และ แอฟริกาใต้ 1 ราย ในข้อหา “อั้งยี่, เป็นคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพหรือรับจ้างทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” พร้อมของกลางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเอกสาร อาทิ คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค, โน๊ตบุ๊ค, สคริปการพูดชักชวนลงทุน และโทรศัพท์มือถือ รวม 58 รายการ โดยจับกุมทั้งหมดได้ที่บ้านพักหรู ในพื้นที่ ม. 9 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ได้รับการประสานข้อมูลจากสำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย (AFP) ว่า มีขบวนการหลอกลวงประชาชนในออสเตรเลีย ย้ายฐานเข้ามาในประเทศไทยและจัดตั้ง “Boiler room” หรือคอลเซ็นเตอร์ เพื่อหลอกให้ลงทุนพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงและกำหนดระยะเวลาคืนทุน 1-3 ปี พร้อมผลตอบแทนคงที่ร้อยละ 7-10 ต่อปี โดยแก๊งนี้มีมานานกว่า 20 ปี ล่าสุดเคยถูกจับกุมได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่หัวหน้าแก๊งที่เป็นชาวอังกฤษและออสเตรเลีย จะหลบหนีมายังประเทศไทย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมของขบวนการดังกล่าวพบว่า ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ในเมืองพัทยาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ก่อนจะย้ายมาอยู่ในกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังพบว่า ตัวการหลักของขบวนการดังกล่าว มักจะมีการนัดพบที่โรงแรมแห่งหนึ่งริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ จึงจัดทีมสะกดรอยติดตามเฝ้าดูพฤติกรรม ก่อนพบว่า ภายหลังการนัดพบกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เดินทางไปยังบ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ

“สำหรับบ้านหลังดังกล่าว พบมีขนาดประมาณ 1 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิด บริเวณหน้าบ้านเป็นซอยตัน ซึ่งเป็นบ้านหลังสุดท้ายในซอย หน้าบ้านมีกล้องวงจรปิดจำนวน 1 ตัว โรงจอดรถมีผ้าใบกั้น และมีคนเปิด-ปิด ผ้าใบ ขณะรถเข้า-ออกจากบ้านหลังดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่า เคยมีการลงประกาศขายในราคา 70 ล้านบาท หรือให้เช่าเดือนละ 120,000 บาท”

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า จากการเฝ้าสังเกตการณ์บ้านพักหลังดังกล่าวพบว่า จะเริ่มมีรถเข้าตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. จำนวนหลายคัน และ จะออกจากบ้านในเวลาประมาณ 15.30 น. ซึ่งตรงกับเวลาทำงานเมืองซิดนีย์ คือ 09.00 น. เลิก 18.00 น. อีกทั้งยังพบว่า เมื่อมีรถขับเข้ามาจอดในบ้านแล้ว หลังจากนั้นจะมีคนดูแลบ้านเดินมาคอยเปิดปิดม่านโรงจอดรถ คล้ายปกปิดพฤติกรรมของผู้พักอาศัย และผู้เข้า-ออกบ้าน

“เมื่อแน่ใจว่า กลุ่มผู้กระทำผิดได้ใช้บ้านหลังดังกล่าวเป็นสำนักงาน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาเข้าตรวจค้น ทันทีที่เจ้าหน้าที่ไปถึงพบ กลุ่มพนักงานชาวต่างชาติ กำลังนั่งอยู่ภายในห้องโถงชั้น 1 ของบ้านที่ถูกดัดแปลงให้มีลักษณะคล้ายสำนักงาน มีแผงกั้นระหว่างบุคคล โดยแต่ละคนกำลังโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะทำงาน ซึ่งมีคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ, เอกสารข้อความต่างๆ, สคริปต์การพูดคุยชักชวนลงทุน, และเอกสารที่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฯ และ สคริปต์ข้อมูลพันธบัตรที่ขบวนการดังกล่าวอ้างว่ามีอยู่จริงในต่างประเทศ วางตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน นอกจากนี้จากการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ยังพบข้อมูลรายชื่อบุคคลชาวออสเตรเลียอีกกว่า 14,000 ราย ซึ่งขณะนี้สำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยยืนยันแล้วว่ารายชื่อบางส่วนถูกขบวนการดังกล่าวหลอกลวงจริง ความเสียหายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาท”

พล.ต.ท.จิรภพ เผยอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของผู้ต้องหาทั้งหมดจากระบบสารสนเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเพื่อทำงาน และจากการสอบถามใบอนุญาตการทำงานของผู้ต้องหาทั้งหมดยอมรับว่าตนไม่ได้รับอนุญาตฯในการทำงานหรือมีใบอนุญาตทำงานแต่อย่างใด และไม่สามารถนำมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้

ด้าน พ.ต.อ.เพลิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ต้องหาทั้ง 13 ราย พบเดินผ่านเข้ามาด้วยวีซ่าแตกต่างกัน แต่ทั้ง 13 รายยังไม่ได้อยู่เกินกำหนดหรือโอเวอร์สเตย์ หลังจากนี้จะเพิกถอนวีซ่าและขึ้นแบล็คลิสต์เพื่อไม่ให้สามารถกลับเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีก

ส่วน Ms.Kristie -Lee Cressy กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้เสียหายในประเทศมีจำนวนเยอะ โดยเฉพาะช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบมูลค่าความเสียหายกว่า 4.45 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยมีการฟอกเงินผ่านช่องทางคริปโต

ขณะที่ พ.ต.อ.อรุณ กล่าวว่า สอบปากคำเบื้องต้น ผู้ทั้งหมดให้การปฏิเสธ และให้การว่ามีเพื่อนชักชวนและพบเห็นประกาศหางานผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ โดยมีค่าตอบแทนประมาณ 3,000 เหรียญออสเตรเลีย และมีค่าคอมมิชชั่นร้อยละ 2.5 จากการทำงาน มีหน้าที่ทำงานโทรชักชวนลูกค้าให้มาร่วม ลงทุนกับบริษัทฯ โดยโทรชักชวนรายชื่อตามที่ได้รับจากบริษัทฯ เพื่อลงทุน โดยมี Mr.Mark Dennis อายุ 54 ปี สัญชาติออสเตรเลีย และ Mr.Mark Andrew Howship อายุ 56 ปี สัญชาติ บริติช เป็นหัวหน้าขบวนการ

RELATED ARTICLES