กองปราบบุกรวบมาเฟียสันกำแพงลักลอบขุดดินทำชาวบ้านเดือดร้อนมานานกว่า 20 ปี อ้างอดีตอัยการ-บิ๊กสีกากี หนุนหลัง ซ้ำเคยพานายทหารคนดังข่มขู่อดีตนายกเทศมนตรี ถึงที่ทำงาน ชาวบ้านท้อร้องเรียนทุกระดับแต่เรื่องไม่เคยถึงศาล ซ้ำยังไปเอาเอกสารลับของราชการมาแจ้งความปิดปากชาวบ้าน13 ราย
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.สั่งการพล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป. พ.ต.ต.จิรัฎฐวัฒน์ กิจรุ่งเรืองเดช สว.กก.4 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายอารีย์ฯ อายุ 70 ปี เจ้าของบ่อขุดดินผิดกฎหมาย ในพื้นที่บ้านกอสะเลียม หมู่ 8 และหมู่ 11 ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ พร้อมตรวจยึดของกลางประกอบด้วยรถแบคโฮ 2 คัน ,รถบรรทุกดิน 3 คัน, เอกสารการรับส่งดิน ใบสั่งงาน บัญชีรายชื่อพนักงาน, กล้องวงจรปิด พร้อม DVR บันทึกภาพและ รถกระบะสีขาว อีก 1 คัน
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน นายอารี ได้ลักลอบเปิดกิจการบ่อการบ่อดินโดยไม่มีใบอนุญาตและฝ่าฝืนผังเมืองรวมเชียงใหม่ ซึ่งระบุว่าเป็นพื้นที่สีเขียว ห้ามขุดดินโดยเด็ดขาด ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี นายอารีย์ เคยถูกจับกุมมาแล้ว 4 ครั้ง แต่คดีไม่เคยถึงชั้นศาล เนื่องจากอัยการมีคำสั่งให้เปรียบเปรียบเทียบปรับ กับอุตสาหกรรม และเทศบาลเท่านั้น ทำให้ผู้ต้องหาไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ยังคงดำเนินกิจการอย่างท้าทายเจ้าหน้าที่รัฐ และก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งเสียงรถ ฝุ่น ถนนพัง และอุบัติเหตุจากรถบรรทุก เข้าออก ดินตกหล่นบนถนนทำให้ประชาชนบาดเจ็บมาแล้วหลายราย
นอกจากนี้กระทบกับระบบน้ำบาดาล แม่น้ำคลองสาธารณะเปลี่ยนเส้นทางไหล บ้านเรือนประชาชนชำรุด ดินทรุด โดย นายอารีย์ มักอ้างตัวว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอดีตอัยการคนดังและมีความเชื่อมโยงกับอดีตตำรวจระดับประเทศที่เคยเป็นข่าวดังในคดีอุ้มฆ่า ชาวบ้านจึงเกรงกลัวเนื่องจากที่ผ่านมาคดีไม่เคยถึงชั้นศาล จึงเชื่อและเข้าใจว่านายอารีย์เป็นผู้มีอิทธิพลคนใหญ่โตจริง อีกทั้งเมื่อปี 2565 หลังจาก นายอารีย์ ถูกจับกุม ได้มี นายทหารนอกราชการชื่อดังปรากฏตัวในเครื่องแบบทหารเข้ามายังสำนักงานเทศบาลตำบลบวกค้าง เพื่อข่มขู่อดีตนายกเทศมนตรี ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับบ่อดิน ทำให้เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายไม่กล้าแตะต้อง
นอกจากนี้ นายอารีย์ ยังนำเอกสารราชการภายใน เช่น หนังสือจาก ตร.ภาค 5 และหนังสือร้องเรียนของประชาชน ไปฟ้องกลับประชาชน 13 ราย ฐานหมิ่นประมาท เพื่อปิดปากผู้ร้องเรียน ต่อมาศาลได้ยกฟ้องประชาชน โดยเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็น “เอกสารราชการที่ห้ามใช้ในทางส่วนตัว” ชาวบ้านพยายามร้องเรียนผ่าน ส.ส. ทั้งพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล รวมถึงส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีหลายคน แต่ไม่มีการตอบกลับหรือแก้ไขใด ๆ ทำให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เสื่อมศรัทธาต่อระบบยุติธรรมและการบริหารงานของรัฐท้ายที่สุด จึงรวบรวมข้อมูลและเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ มายังกองปราบปราม เป็นผู้นำในการตรวจค้นจับกุม เพื่อให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รายนี้
หลังรับทราบข้อมูลเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังลงพื้นที่เข้าตรวจสอบพบรถกระบะสีขาว ขับมาจอดบริเวณหน้าบ่อดิน พบ นายอารีย์ เป็นคนขับ โดยมี นายไอ้ผิด อายุ 19 ปี และ นายจายซาน อายุ 20 ปี ลูกน้องชาวเมียนมาที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายนั่งโดยสารมาด้วย
จากนั้นระหว่างการปฏิบัติการตรวจค้น คนงานในพื้นที่ได้ไหวตัวทันและพยายามขัดขวางเจ้าหน้าที่โดยนำรถบรรทุกขนาดใหญ่และรถกระบะไปปิดกั้นทางเข้าออกทั้ง 3 ด้านของบ่อดิน เพื่อเปิดทางให้คนงานหลบหนีทางด้านหลัง ส่งผลให้มีคนงานหลบหนีไปได้ 5 คน ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพจากมุมสูงขณะที่รถแบคโฮกำลังตักดินใส่รถบรรทุก รวมถึงภาพเหตุการณ์ที่คนงานพยายามขัดขวางการตรวจค้นไว้เป็นหลักฐาน จากการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบว่ามีการประกอบกิจการขุดดินอย่างเป็นระบบ มีรถแบคโฮทำงานภายในบ่อจำนวน 2 คัน รถบรรทุกดินรอขนถ่ายอีก 3 คัน จุดตั้งกล้องวงจรปิดพร้อมเครื่องบันทึก DVR ป้อมเสมียนบันทึกคิวรถเข้าออก บัญชีรายชื่อพนักงาน และเอกสารแสดงรายการการขนส่งดิน จึงควบคุมตัว นายอารีย์ และลูกน้องรวม 3 รายมาสอบปากคำ โดยนายอารีย์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นบุคคลต่างด้าว ให้การรับสารภาพ
เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันทำการขุดดินโดยมีความลึกจากระดับพื้นดินเกินสามเมตรโดยไม่ได้รับอนุญาต,ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นเรื่องให้หยุดทำการขุดดินฯ, ร่วมกัน ตั้งโรงงานจำพวกที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ ,ร่วมกันประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ ,ร่วมกัน ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพฯ ,ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานฯ, ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือคนต่างด้าวฯ,รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” แก่นายอารีย์ ส่วนแรงงานชาวเมียนมาแจ้งข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต, เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ก่อนนำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.สันกำแพง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป