พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ. 6 พล.ต.ต. ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ พล.ต.ต. อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รองผบช.ภ.6 พล.ต.ต.เดชพล เปรมศิริ ผบก.สส.ภ.6 สั่งการให้พ.ต.อ.ฤทธินันท์ ปุ้ยพันธวงศ์ รรท รอง ผบก.สส.ภ.6,พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ รอง ผบก.สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ ถาบุญชู ผกก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.6,พ.ต.อ.วรเชษฐ์ พลขัน ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.6 พ.ต.ท.เด่นเดียว ดอนตุ้มไพร รอง ผกก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.6,พ.ต.ต.ชาคริส จำนงค์วัย สว.กก.ปพ.บก.สส.ภ.6 นำกำลังจับกุม นายต่อศักดิ์ โคตรวิทย์ อายุ 43 ปี,นายสมชาย ปานกล่ำ อายุ 45 ปี,นายฉัตรมงคล แน่จริง อายุ 22 ปี ,น.ส.อริสรา เสาร์นุ อายุ 21 ปี,นายกรวิชญ์ สินเช้า อายุ 19 ปี ,นายแสนคม หรือคม ทัพโพธิ์ อายุ 44 ปี,นายธนอนันต์ หรือพอล ดำรงศรีวิวัฒน์ อายุ 35 ปี,.นายมณชัย หรือคิม เหลืองธนะอนันต์ อายุ 30 ปี นายสมเกียรติ หรือต่าย บางขันธ์ อายุ 36 ปี และน.ส.สโรชา หรือซิม ยอดโมกข์ อายุ 37 ปี พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ จำนวน 10 เครื่อง ,สมุดบัญชีธนาคาร6ฉบับ เงินสด จำนวน 132,040 บาท , เงินสดสกุลหยวน จำนวน 12,200 หยวน รถยนต์ 2 คัน
ก่อนจับกุมผู้เสียหายได้ร้องทุกข์สภ.เมืองกำแพงเพชร ว่า ถูกคนร้ายซึ่งรู้จักผ่านแอพพลิเคชั่น ติ๊กตอก ชักชวนการเทรดหุ้นเทรดทอง อ้างว่าจะได้ค่าตอบแทนอย่างสูง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงยอมลงทุนด้วย โดยในครั้งแรกๆก็แสดงผลกำไรและสามารถเบิกถอนมาได้จริง จากนั้นคนร้ายได้ออกอุบายให้เพิ่มการลงทุนอ้างเหตุต่าง และขาดการติดต่อจนเหยื่อสูญเงินรวม 18,838,550 บาท ต่อมาชุดสืบสวนได้แกะรอยพบว่าเป็นคนร้ายมีการทำเป็นขบวนการแบ่งงานกันทำตั้งแต่จัดหาบัญชี คุมบัญชีม้า พาไปถอนเงิน และผู้สั่งการ จึงได้นำกำลังจับกุม
สอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับว่า ร่วมกันหลอกเหยื่อจริง โดยเมื่อมีเงินที่ได้จากการหลอกลวงเข้าบัญชีแล้ว ก็จะกดเงินและส่งให้บอสใหญ่ชาวจีน ซึ่งบัญชีม้าถอนเงินจะได้รับค่าจ้าง 1,000-2,000 บาทต่อบัญชี ,คนควบคุมบัญชีม้าไปถอนเงินจะได้รับค่าจ้าง 3,000 บาท ต่อบัญชี ,คนรบรวมเงินจะได้ค่าจ้าง 1% ของยอดเงินที่รวบรวมส่งนายทุน อย่างไรก็ตามคดีนี้ยังเหลือนายพรชัย หรือตู่ แรมลี อายุ 43 ปี ทำหน้าที่ ผู้จัดการการเงิน ที่ยังคงหลบหนี
เบื้องต้นจึงแจ้งข้อหา ร่วมกันกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” และจะขยายผลติดตามคนร้ายต่อไป