เวทีสุดท้าย

 

เตรียมรวบรวมผลการเสวนาทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ นำมาจัดทำเป็นเล่มรายงานทางวิชาการ 4 ฉบับ

เป็นข้อมูลการทำความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร  รวมทั้งเผยแพร่ให้ผู้สนใจได้ศึกษาข้อมูลผลการเสวนาดังกล่าวต่อไป

สำหรับเวทีสุดท้าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปเป็นประธาน “เปิดหัว” ที่ศูนย์ฝึกตำรวจภูธรภาค 6  จังหวัดนครสวรรค์  มี พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี) ร่วมรับฟังการเสวนาทางวิชาการ

หัวข้อ   “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ร่างของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน) ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน

ได้ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พล.ต.ท.วสันต์ วัสสานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พล.ต.ท.อำนวย  นิ่มมะโน  กรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ พล.ต.ท.ดำรงค์  เพ็ชรพงค์  อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับ รองผู้บัญชาการ และ ผู้บังคับการในสังกัด ตำรวจภูธรภาค 5 และ ภาค 6 ร่วมเสวนา

การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้นับเป็นเวทีครั้งที่ 4 เป็น “ครั้งสุดท้าย” หลังจากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดเสวนาอย่างต่อเนื่อง

จากเวทีในพื้นที่ภาคกลางที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จังหวัดนครปฐม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น และภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต  เป้าหมายเพื่อรับฟังความคิดเห็นที่มีต่อร่างกฎหมาย ให้รอบด้าน ครอบคลุม ทุกมิติ และทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

ภายในงาน นอกจาก พล.ต.ท.ดำรงค์  เพ็ชรพงค์  อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในกระบวนการยุติธรรมร่วมอภิปราย ได้แก่ ท่านเปรมศักดิ์  ศรีนวล  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครสวรรค์ อ.ชำนาญ  ชาดิษฐ์  กรรมการอำนวยการ สำนักงานธนานุเคราะห์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และทนายความ ผศ.เครือวัลย์  อินทรสุข  ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ นายโสฬส  วัฒนศิลป์  กรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดนครสวรรค์  และ พ.ต.อ.เทิดสยาม  บุญยะเสนา ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 ท่ามกลางผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ประกอบด้วย ตัวแทนหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคประชาชน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนพนักงานสอบสวนและข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 5 และตำรวจภูธรภาค 6

ภายหลังการเสวนาในภาคเช้า ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติ

ร่างแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีสาระสำคัญคือ การให้อัยการมีอำนาจกำกับดูแลงานสืบสวนสอบสวน   เช่น ในการสืบสวนเมื่อพบเหตุต้องแจ้งให้พนักงานอัยการทราบทันที  การออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ ต้องให้พนักงานอัยการให้ความเห็นชอบก่อน  รวมถึงให้อำนาจพนักงานอัยการมากำกับการสอบสวนในคดีสำคัญ หรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม

เวทีล่าสุด หลายฝ่ายได้แสดงความเห็นไม่ต่างจากเวทีที่ผ่านมาว่า ขั้นตอนการปฏิบัติที่ร่างกฎหมายกำหนด อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการสอบสวน เพราะกระบวนการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนระหว่าง พนักงานสอบสวน อัยการ และศาล  ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้เสียหายทำให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ล่าช้าขึ้น ย่อมจะกลายเป็นความไม่ยุติธรรม (Justice delayed is justice denied)

พวกเขายังได้ยกตัวอย่างคดีในพื้นที่ภาคเหนือ ต้องมีการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดเพื่อป้องกันปัญหาการนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดน หากนำขั้นตอนการปฏิบัติตามร่างกฎหมายมาใช้ อาจไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์ ในการสืบสวนสอบสวน จับกุม ตรวจค้น คดียาเสพติดได้ในพื้นที่ได้

ขณะเดียวกันวงเสวนายังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องงบประมาณของรัฐที่จะต้องจัดสรรเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการ ในการจัดหาบุคลากร ทรัพยากรต่างๆ  และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มเติม เพื่อรองรับภาระงานต่างๆ ที่มีเพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายนี้       

ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนกันในการเสวนา คือ การแก้ไขกฎหมายต้องมีเหตุผลและความจำเป็นที่เหมาะสม  แต่การเสนอแก้ไขครั้งนี้  “เป็นการยกปัญหาเป็นข้อบกพร่องส่วนบุคคล” ในงานสอบสวนแค่บางส่วน แต่มาเสนอแก้หลักการของกฎหมาย “แม่บท”

ทั้งที่การแก้ไขปัญหานั้นสามารถดำเนินการผ่านกลไกการประสานงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม  หรือการแก้ไขระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้องจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เหมาะสม และรวดเร็วกว่า

เพราะจะทำให้ไปกระทบหลักการของระบบกฎหมายอาญาที่เป็นระบบกล่าวหาของประเทศไทยทั้งระบบโดยไม่จำเป็น

ร่างพระราชบัญญัติกฎหมายวิธีความอาญาฉบับแก้ไขยังเน้นประเด็น “การคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาค่อนข้างมาก”  ทั้งที่โดยหลักแล้วกระบวนการยุติธรรมต้องมีความสมดุลกันระหว่าง ผู้เสียหายและผู้ต้องหา และยังต้องคำนึงถึงมิติการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมอาชญากรรม (Due process) ตามหลักอาชญาวิทยาด้วย

หากร่างกฎหมายมุ่งแก้ไขเพียงบางประเด็น จะทำให้เกิดความไม่สมดุลในกลไกของกระบวนการดำเนินคดี  และยังส่งผลให้ขัดหรือแย้งกับมาตราอื่นๆ ที่ไม่ได้เสนอแก้ไขในคราวเดียวกันนี้อีกด้วย

อาจเกิดความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติ  สุดท้ายย่อมส่งผลกระทบให้เกิดความล่าช้าในการสอบสวนโดยไม่จำเป็น

ส่งผลเสียต่อประชาชนผู้เสียหายในที่สุด    

RELATED ARTICLES