“ผมเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกันมาเท่าไหร่ ไม่เคยวิ่งเต้นเอาตำแหน่ง”

น้อยรายที่มีโอกาสได้ทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเคียงข้างตำนานมือปราบพระกาฬแห่งกรมตำรวจอย่าง พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค และ ชลอ เกิดเทศ ในสมัยที่เป็นนักสืบดาวรุ่งอยู่กองปราบปราม

จำนวนศิษย์เอกก้นกุฏิที่อดีตนายพลคนดังทั้งคู่ไว้เนื้อเชื่อใจเรียกไปใช้งานย่อมปรากฏชื่อ “เดอะคก” พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ รวมอยู่ในทีมงานด้วยแน่นอน

เจ้าของฉายา “คางคก” ที่หมู่เพื่อนนักเรียนล้อตั้งแต่สมัยเด็ก เหตุเพราะวาดภาพอะไรไม่รู้ ทว่าเพื่อนดูเป็นคางคก หลายคนถึงเรียกติดปากจนกลายเป็นชื่อเล่นมาจวบจนทุกวันนี้ แม้ตัวเองจะเกษียณอายุราชการหลายปีแล้วก็ตาม

สมัยเด็กถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำที่วชิราวุธวิทยาลัย เพราะพ่ออยากให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ชอบกีฬารักบี้เป็นชีวิตจิตใจ ติดทีมโรงเรียน ก่อนก้าวสู่ทำเนียบทีมชาติ พอจบมัธยม 8 ได้ใช้โควตานักกีฬาตามโครงการช้างเผือกไปเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หากทว่าไปเป็นนักรักบี้อยู่ทีมสโมสรตำรวจ

นับเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ปฐมบทของตำนานนักสืบฝีมือดีที่มีหัวใจเกินร้อยของวงการสีกากีอีกคน

เจ้าตัวเล่าว่า เรียนหนังสือไม่เก่ง สอบก็ตก อาจเพราะเล่นกีฬาอย่างเดียว ตอนนั้นไม่ได้คิดอนาคต ติดโครงการช้างเผือกธรรมศาสตร์ ตำรวจขอให้ไปเล่นรักบี้เลยต้องสมัครเป็นพลตำรวจสำรองพิเศษควบคู่กับเรียนปริญญาตรีไปด้วย หลังเรียนจบเสร็จก็อบรมเป็นนายร้อยตำรวจอบรมรุ่น 15 ลงเป็นผู้หมวดอยู่จันทบุรี ใช้วิชาไอ้ที่เราเล่นรักบี้ไล่จับโจร กระโดดแท็กจนคนร้ายหนีไม่ออก เรานักกีฬา วิ่งหนีเราไม่พ้นอยู่แล้ว

ต่อมาเข้าไปอบรมโรงเรียนสืบสวนรุ่นเดียวกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ขณะนั้นเป็นรองสารวัตรอยู่กองปราบปราม เลยถูกชักชวนให้เข้าสังกัดกองปราบสามยอดเริ่มต้นที่กองกำกับการ 4 กองปราบปราม ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคอีสาน และภาคตะวันออก พอ ร.ต.อ.เฉลิม เลื่อนเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม เขาจึงย้ายตามมาเป็นรองสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 ออกทำงานบู๊กับ สารวัตรเหลิมทุกรูปแบบ อยู่เบื้องหลังคดีสำคัญในยุคนั้นมากมาย

พล.ต.ท.เจตนากรบอกว่า เราชอบทางสืบสวนอยู่แล้ว งานนักสืบสมัยก่อนมันไม่เหมือนสมัยนี้ ไม่มีเทคโนโลยี ใช้วิธีแบบคบโจรบ้าง รู้จักนักเลงบ้าง ฟังข่าวจากคนนั้นคนนี้เอามากรองดู บางครั้งก็เป็นข่าวมั่ว พวกขี้โม้ ขี้คุย บางคนไม่ได้ทำแต่คุยเป็นเรื่องเป็นราว ได้มีโอกาสทำงานกับท่านสล้าง บุนนาค ตอนเป็นรองผู้การกองปราบปรามตระเวนอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ทำงานมาเรื่อยจนไปขึ้นสารวัตรท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากท่านณรงค์ อัลภาชน์ ลงเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธร 4 ขอตัวไปช่วยงานด้วย

วนเวียนพื้นที่ปลายด้ามขวานหลายปี ได้เป็นทั้งสารวัตรสืบสวนภูธร 4 คุมหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองบัญชาการภาค เป็นสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูล และสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ถึงกลับเข้าไปรองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ทำงานสืบสวนปราบปรามเคียงข้าง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ที่สมัยนั้นเป็นรองผู้บังคับการกองปราบปราม รับบทเป็นรองหัวหน้าชุดเฉพาะกิจมือปืนรับจ้าง

“ผมรู้จักป๋าลอ ตั้งแต่สมัยเล่นรักบี้สโมสรตำรวจด้วยกัน พอได้ไปทำงานร่วมกันก็เข้าอยู่ในทีมงานปราบมือปืนรับจ้างที่จังหวัดสุโขทัย นิสัยเราจะเหมือนกัน ไปด้วยกันได้ ทำกันมาหลายคดีมาก สมัยก่อนนักสืบต้องรู้จักนักเลง มือปืน ทุกคดีที่ทำต้องเต็มที่หมด ผมถึงไม่สามารถตอบได้ว่า ประทับใจ หรือจำคดีไหนเป็นพิเศษ” อดีตนายพลมือปราบพยายามถ่อมตัว

อยู่กองปราบปรามทำงานเด็ดขาดจนกลายเป็นนักรบมีแผลถูกข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่เลยโดนเด้งเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง หลังพ้นมลทินก็ขยับขึ้นเป็นผู้กำกับการหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดสิงห์บุรี และย้ายเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมคลี่คลายคดีสังหารนายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย

จากนั้นเลื่อนเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก ไม่นานก็คืนสมรภูมิใต้เป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส และติดยศ “นายพล” ตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล ย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 แล้วเลื่อนเป็นผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ทำหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย) ในยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คู่เขยนั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศ และก้าวกลับถิ่นเก่าไปรับภารกิจดับไฟใต้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ไม่นานขยับเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และเข้ากรุเป็นจเรตำรวจก่อนเกษียณอายุราชการเพียง 6 เดือน เหตุเพราะการเมืองเปลี่ยนขั้ว

นายตำรวจมือปราบรุ่นเก่ามีมุมมองว่า นักสืบต้องเป็นคนที่จดจำเก่ง และมีพวกเยอะ สมัยก่อนสนามมวยสนามม้า หรือที่อโคจร ถ้าไม่เข้าไป ไม่มีทางรู้อะไร ไม่มีพวกไม่มีทางรู้ จะรู้ไหมใคร ทำอะไรที่ไหน พวกนั้น สมัยก่อนจับโจรก็ต้องดูว่า เอาเงินทีไหนมาแทงพนันมากมาย อยู่ต่างจังหวัดด้วย ไปปล้นเขามาหรือเปล่า คนกระจอก ๆ มีเงินไปแทงม้าเยอะก็เช็กประวัติได้เลย  อยู่ข้างนอกจะไปรู้เรื่องอะไร แต่นักสืบสมัยก่อนก็เสี่ยง

“ผมไปปราบโจรสลัดต้องปลอมเป็นลูกเรือประมง ออกเรืออยู่กลางทะเลหลายวัน ถ้าถูกจับได้ไม่ถูกฆ่าตายหรือ มันดี แต่เสี่ยง ผมทำงานสมัยนั้น ต้องไว้หนวด ไว้เครา มีสภาพไม่ต่างกับโจร เวลาไปไหนมาไหนที บางครั้งยังถูกตำรวจท้องที่ตั้งด่านตรวจค้น เคยมีอยู่ครั้งแถวฝั่งธนบุรี ตอนนั้นอยู่กองปราบ ผมเห็นผิดสังเกต ทำไมมีด่าน มีนักข่าวมารอกันเต็ม คงนึกว่า ผมเป็นมือปืน ผมเลยต้องรีบบอกเป็นตำรวจ เดี๋ยวเข้าใจผิดกันแล้วจะยุ่ง” พล.ต.ท.เจตนากรถ่ายทอดประสบการณ์

เขาย้ำว่า การเป็นนักสืบต้องมีเพื่อน มีพวก คำพูดเราต้องศักดิ์สิทธิ์ ช่วย คือช่วยจริง ไม่ใช่ไปหลอกเขา อีกหน่อยก็เจ๊ง ไม่มีพวก มันต้องมีสัจจะ บางอย่างอาจนอกกฎหมาย แต่เราต้องมีสัจจะ เช่น ถามมันงานนี้ใครทำ เราต้องการงานนี้ งานอื่นไม่เกี่ยว ไม่ใช่เที่ยวคว้าหมดทุกอย่าง ต่อไปใครมีอะไรจะมาบอกเราหรือ อย่าไปจุกจิก ทีหลังจะไม่มีใครคบ เราไม่ได้ดูเรื่องเล็ก ๆ เราต้องการเรื่องใหญ่ ๆ นักสืบมีอีกอย่าง เวลาแถลงข่าวอย่าไปยืนข้างหลัง เพราะอีกหน่อยจะทำงานไม่ได้ ไม่ต้องสร้างภาพ

“ ต้องวัดใจกัน ผมทำงานเหมือนป๋าลอ วัดใจไปเลย ไม่ใช่คดีจุ๋มจิ๋ม ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก คดีเล็กน้อยจับหมด อีกหน่อยใครจะมาคุย นักสืบรุ่นเก่ามันเสี่ยง นายเข้าใจก็ดี ถ้าไม่เข้าใจก็จะมามองว่า พวกมึงโจร  ผมก็อยากบอกว่า ถ้าเราไม่รู้จักพวกนี้จะรู้อะไรไหม เราต้องมีใจแบบนี้เพื่อวัดกัน ถ้านายไม่เข้าใจ ชีวิตเราก็จบ งานอื่นก็ไม่ได้กินกัน ตำรวจรุ่นใหม่น่าสงสงสาร บางส่วนกลายไปเป็นโจรเลยก็มี มันต้องแยกแยะ มันเป็นธรรมชาติของทุกสังคม มีทั้งคนดี และไม่ดี อย่าไปเหมารวม คนทำงานมันก็ท้อ เสี่ยงแทบตาย นายกลับมองไปอีกแบบ ถึงไม่ค่อยมีใครอยากทำ กูเอาตังค์ไม่ดีหว่าหรือ จะเสี่ยงทำไม” อดีตมือปราบให้ข้อคิด

       “นักสืบคนไหนเก่งไม่เก่งไม่ต้องคุย ในวงการเขารู้กันเอง ผมเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกันมาเท่าไหร่ ไม่เคยวิ่งเต้นเอาตำแหน่ง เสี่ยงกันมาเยอะกว่าจะโตมาได้ ถ้าพลาดก็ร่วงเลย นักสืบเก่าได้ดีก็เยอะ ร่วงก็ไม่น้อย มันต้องเข้าไปคลุก ไม่คลุกก็ไม่ได้ นายเข้าใจก็โอเค ถ้านายไม่เข้าใจก็จบ งานนักสืบกว่าจะได้แต่ละคดีไม่ง่ายเลย จะไปถามมันว่า คุณฆ่าเขาหรือเปล่าครับ รู้ ถามดี ๆ มันไม่บอกอยู่แล้ว ถ้ารับสารภาพก็พวกกิ๊กก๊อก นิติวิทยาศาสตร์เหมือนในหนังมันไม่มี วัดใจอย่างเดียว แต่มันต้องชัวร์”

พล.ต.ท.เจตนากรมองผ่านประสบการณ์ว่า  เราไม่ได้ทำคนดี ยังไงมันก็โจร ตายไปคน คนอื่นไม่ตายอีกกี่คน มันเที่ยวไปยิงเขา ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนเขาเลย รับงานไปยิง แล้วลูกเมียคนที่ตายจะอยู่อย่างไร ถ้าคนร้ายไม่ตาย มันต้องไปยิงอีกกี่คนแล้วครอบครัวที่จะเดือดร้อนจะมีอีกกี่ครอบครัว “ผมคิดว่า มือปืนรับจ้างไปยิงคนที่ไม่รู้จักเลย ลูกเมียเขาก็เดือดร้อน  ถ้ามันตายไปจะมีคนรอดอีกไม่น้อย ผมคิดแบบนี้นะ ผมสบายใจ ผมถึงกล้ายิงโจร ผมไม่ใช่คนดี แต่ผมไม่ได้ทำคนดี”

   “สังคมอาจมองเราไม่ใช่ผู้พิพากษา สภาพอาชญากรรมทุกวันนี้ถึงค่อนข้างก้ำกึ่ง โจรมันถึงไม่ค่อยกลัวตำรวจ ยิงสวนอย่างเดียว ผิดกับสมัยก่อนไม่ทันได้สวนก็โดนก่อนแล้ว กูไม่ใช่พระเอกหนังดวลกันในฉากหนังบู๊ เราคิดแบบนี้สบาย แต่เราต้องทำคนเลวจริง ๆ อย่าไปสงสัยแล้วก็เอาเลย ต้องตรวจสอบอีกเยอะ ถึงต้องเน้นย้ำว่า บางคนไปฟังคนนี้ฝอย โม้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย ฟังเขามาแล้วคุยต่อ ถ้าเราไปให้น้ำหนักเราเจ๊งเลย เราต้องฟังหลายปากเพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงน้ำหนักความเป็นไปได้  อะไรจริงไม่จริง ต้องให้ชัวร์ กว่าจะฟันธงเป็นทีมนั้นทีมนี้ ต้องมีการดับเบิลเช็ก ถ้าผมทำก็ต้องชัวร์ ของจริงทั้งนั้น อาจไม่จริงคดีนี้ แต่ต้องจริงคดีอื่น”

สุดท้าย พล.ต.ท.เจตนากรฝากแง่คิดถึงผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ถ้าลูกน้องทำพลาดนายต้องช่วย ต้องเข้าใจ ตำรวจมีมือดีเยอะ บางทีไม่กล้าทำ บางทีดีก็ดี แต่พลาดมาถูกซ้ำเติม ลูกเมียก็เดือดร้อน งานพวกนี้ต้องทุ่มเท และเสี่ยง เกิดถูกออกจากราชการขึ้นมาก็ตายเลย บางคนกลายเป็นโจร เพราะมีวิชาอยู่แล้ว มีใจอยู่แล้ว ไปไกลเลย กลับตัวยากด้วย มันจะรู้ทาง ตำรวจที่หมดหวังหมดอนาคตไปเป็นโจรมันถึงอันตราย

  เจตนากร นภีตะภัฏ !!!

 

RELATED ARTICLES