“ผมภูมิใจ ผมไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร”

นักรบสมรภูมิปลายด้ามขวานสมัยวัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

พ.ต.อ.นิวัฒน์ มารวิชัย อดีตผู้กำกับการอำนวยการ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรีผ่านประสบการณ์ชีวิตในเครื่องแบบสีกากีมาอย่างโชกโชนด้วยความเป็นคนอ่อนนอกแข็งในไม่ยอมก้มหัวให้กับความอยุติธรรม

เขาเป็นลูกชายพนักงานการรถไฟ เกิดนครราชสีมา แต่กลับมาเติบโตเมืองหลวง เรียนผะดุงศิษย์พิทยา ไปต่อวัดบวรนิเวศจนจบมัธยม 8 เข้าเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยากเจริญตามรอยเท้าผู้เป็นพ่อ แต่ถูกปฏิเสธ เพราะผู้บังเกิดเกล้าต้องการให้เป็นตำรวจ หรือทหารอากาศ

จังหวะกรมตำรวจเปิดรับพนักงานสอบสวนวุฒิปริญญาตรีนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ จำนวน 100 ตำแหน่งจึงตัดสินใจไปสมัครสอบติดเป็นอันดับต้น ๆ เข้าอบรม 6 เดือนและลงฝึกงานโรงพักปทุมวัน เสร็จแล้วถูกคำสั่งย้ายลงชายแดนด้ามขวานเป็นผู้หมวดอยู่โรงพักเมืองนราธิวาส พื้นที่ที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ก่อการร้ายคุกรุ่น

อายุเพียง 20 กว่ากลายเป็นหนุ่มไฟแรงทำหน้าที่พนักงานสอบสวนไม่กี่เดือนโดนคำสั่งให้ไปช่วยราชการอำเภอระแงะประเดิมวีรกรรมปะทะจับตายหัวหน้าโจรก่อการร้ายประวัติยาวเหยียด แต่ต้องแลกกับการสูญเสียชีวิตลูกน้องฝีมือดีไป 1 คน

“ ตอนแรกไม่รู้อะไร เป็นพนักงานสอบสวน ไม่ใช่นักบู๊ ไม่คิดจะออกรบ ตอนหลังเขาใช้หมดทั้งปราบปราม สอบสวน” อดีตนายตำรวจนักรบแดนใต้ย้อนความหลัง เขาบอกว่า เหมือนพุทธคุณหลวงพ่อทวดคุ้มครอง เพราะก่อนมีคำสั่งย้ายลงระแงะไม่กี่วัน ตามหาหลวงพ่อทวดเนื้อว่านรุ่นแรก ด้วยความอยากได้ลเยไปสืบหาจากลูกน้อง เจอองค์หนึ่งอยู่กับ ส.ต.อ.อำนวย จำนามสกุลไม่ได้ ลูกน้องที่ทำงานสายสอบสวนด้วยกัน ขอเขาดูแล้วบอกยืมก่อนได้ไหม เขาบอกว่า ได้ แต่ไม่ได้ให้เลย เอไปตอนแรกไม่ได้นับถือลึกซึ้ง แค่อยากพกติดตัวไว้ อยู่มาคืนหนึ่งกำลังนอนหลับเคลิ้ม ๆ ไม่ได้หลับสนิท รู้สึกตัว เหมือนท่านมาเข้าฝันสั่งว่า หากนับถือให้กราบ 3 ที เราก็สะดุ้งตื่นรีบลุกขึ้นมากราบบนเตียง

   พ.ต.อ.นิวัฒน์เล่าว่า ไม่กี่วันถัดมามีคำสั่งให้ออกแผนจับโจรที่อำเภอระแงะแบบไม่ทันตั้งตัวจนเกิดการปะทะกันเป็นวันที่ 26 มกราคม 2511 คนร้าย คือ นายมะดอฆอ กุงเทะ โจรก่อการร้ายระดับแกนนำ มีประวัติหมายจับฆ่าตำรวจมาแล้วหลายศพ เราไม่รู้ประวัติมาก่อน เพราะไม่มีใครบอก แต่ลูกน้องรู้กิตติศัพท์มันดี ตอนเช้ามืดได้รับคำสั่งให้เข้าไปล้อมจุดที่มันกบดานหลายจุด ตรงจุดเราคิดว่า ไม่เจอ แต่เจอจนได้

พวกเขาเข้าล้อมบ้านเป้าหมาย จ.ส.ต.ชัยวัฒน์ พฤกษพงษ์ ขึ้นไปเคาะเรียกให้คนร้ายมอบตัว ไม่มีเสียงตอบ สักพักได้ยินมันกระซิบเมียบอกให้เอาลูกออกไป ตัวมันจะยอมสู้ตายคนเดียว เมียกับลูกมันถึงเปิดประตูเดินลงบันไดมา พ.ต.อ.นิวัฒน์ จึงให้ลูกน้องคุมตัวไว้ ก่อนแยกซุ่มสังเกตการณ์เตรียมพร้อมไม่ห่างตัวบ้าน

“ผมยืนอยู่ข้างต้นหมาก ส่วนจ่าชัยวัฒน์อยู่ข้างต้นมะพร้าวดันจุดบุหรี่สูบเลยโดนมันยิงใส่ตามแสงไฟบุหรี่เปรี้ยงเดียวหงายท้องตายคาที่ นาทีนั้นผมสั่งให้ลูกน้องในทีมระวังตัวแล้วให้สาดกระสุนใส่บ้านสลับบนลงล่างเสียงปืนดังสนั่น คนร้ายหล่นจากขื่อบ้านแล้วยังแข็งใจวิ่งยิงตอบโต้” เจ้าตัวเผยนาทีระทึก “ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ตัดสินใจให้เอาลูกกับเมียมันมา ดันนำหน้าไปโล่กำบังแล้วให้ลูกน้องตามประกบไปข้างหลัง ปรากฏว่า มันกลัวลูกเมียจะตาย พอจังหวะโดดหนี พวกผมก็ซัลโวมันจนตาย” อดีตผู้หมวดเมืองนราธิวาสรำลึกถึงวีรกรรมจับตายครั้งแรกที่แลกด้วยชีวิตลูกน้อง แถมยังถูกลือว่า ตัวเองเพลี่ยงพล้ำถูกยิงตาย เพราะชื่อดันเป็นพ้องกับลูกน้องผู้วายชนม์ คือ จ่าชัยวัฒน์ พฤกษพงษ์

          หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เขาได้รับความไว้วางใจให้ไปช่วยราชการยาวกระทั่งย้ายลงเป็นตัวจริง ทุ่มเทการทำงานทั้งสอบสวน และปราบปรามรักษาความสงบในพื้นที่ ปะทะเด็ดหัวโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนตายไปหลายศพ เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษเคลื่อนที่เร็วคุมลูกน้อง 10 คนตามกำราบวายร้ายตัวเอ้ในพื้นที่ “ผมจะไม่ทำคนที่ไม่มีทางสู้ แต่สมัยก่อนไม่น่ากลัวขนาดนี้ มันไม่มีระเบิด มีแต่ปืนยิงกัน ดวงใครดวงมัน ประกาศให้มันรู้ว่า เราเป็นตำรวจ เราไม่กลัว”

เล่นบทบู๊เป็นชุดปฏิบัติการพิเศษอยู่อำเภอระแงะ 2 ปี โดนคำสั่งย้ายข้ามไปทำงานอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้เรียกเข้าแผนปฏิบัติการอีก ลุยพื้นที่ปัตตานี ตั้งแต่อำเภอปะนาเระ สายบุรี มายอ ไม่นานรู้สึกท้อแท้ระบบ พ.ต.อ.นิวัฒน์สารภาพว่า เริ่มเห็นอะไรต่ออะไรที่มันไม่ยุติธรรม เก็บเอาไว้ตลอดตั้งแต่ปะทะครั้งแรกที่ระแงะ ทางผู้กองขอขั้นพิเศษให้ไปที่กรมตำรวจ ผู้ใหญ่พิจารณาบอกไม่ให้ อ้างไม่ได้เสี่ยงภัย ให้ถือเป็นความชอบ แต่ไม่ได้ขั้น ตอนหลังผู้กำกับการจังหวัดนราธิวาสจะเอาน้องชายมาอยู่ เป็นเหตุให้เราถูกย้ายไปยะหริ่ง มาอยู่แล้วได้ 2 ขั้นอีกต่างหาก

  “ผมไปขอขั้นอีกครั้ง ก็ไม่ได้ แบบนี้คิดว่า อย่าอยู่ดีกว่า หาทางกลับ ไม่เอาแล้ว ทำแล้วเหนื่อย เสี่ยง และไม่ได้ความดีความชอบ ขอไปก็ไม่ให้ เราไม่ได้อะไรเลย มันท้อ มันเป็นความไม่ยุติธรรมของผู้บังคับบัญชา แบบนี้จะอยู่ไปทำไม ตอนนั้น มีเพื่อน 2 คนอยู่นั่น ตอนผมจะขอย้ายก็บอกว่า ผมไม่อยู่แล้วจะกลับด้วยกันไหม ทั้งคู่ไม่ยอมกลับบอกจะเอาขั้นพิเศษก่อน สุดท้ายคนแรกถูกยิงขาเดี้ยง ส่วนอีกคนถูกยิงตาย”

เขาได้ย้ายไปอยู่กองกำกับการรักษาอาคารสถานที่ สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลประจำอยู่ในวังปารุสกวัน มีหน้าที่เข้าเวรรักษาการณ์พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และวังสระปทุม เผชิญเหตุการณ์วันวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 เมื่อกลุ่มนิสิตนักศึกษาเดินทางมาชุมนุมอยู่หน้าสวนจิตรลดา พ.ต.อ.นิวัฒน์บอกว่า กำลังเดินตรวจชายคูน้ำด้านในรั้ววัง มีนักศึกษาโห่ไล่ ตอนหลังบางคนรู้ว่า เราเป็นตำรวจของในหลวง เขาก็หยุด เราเอารถจี๊ปขับตรวจรอบบริเวณ เขาก็ไม่ทำอะไร เพราะเรามีเครื่องหมาย ภปร.ติดอยู่ที่แขน เฝ้าประตูรักษาการณ์ตรงสนามม้า หน่วยอื่นระส่ำระสาย แต่เราสบาย มีอยู่ครั้งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จออกมาเยี่ยม มาแบบเรียบง่ายสมถะเสด็จถึงก็ทรงนั่งกับพื้นเลย เราก็ตกใจนั่งแทบไม่ทัน พระองค์ถามสารทุกข์สุขดิบ เอาของมาประทานให้ นับเป็นความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิต

ต่อมา ขอขยับออกไปอยู่กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากร สมัยนั้นขึ้นตรงกองตรวจคนเข้าเมือง ทำหน้าที่ไล่จับของหนีภาษี ไม่วายไปขัดแย้งกับผู้เป็นนายจนตัวเองอึดอัดขอย้ายหนีไปลงเป็นตำรวจภูธรอีกครั้ง “ มันไม่ใช่ความผิดผม” อดีตนายตำรวจคนตรงว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อกรมสรรพากรจะส่งคดีที่ใกล้หมดอายุความเกี่ยวกับความผิดเรื่องโรงภาพยนตร์มา พวกโรงหนังหัวหมอจะจ้างคนเดินตั๋ว คนทำความสะอาดมาเป็นผู้จัดการถึงเวลาก็เผ่นหนีกลับบ้านเกิด ผู้บังคับบัญชากำชับให้ตามจับมาดำเนินคดีให้ได้

“แต่จะจับมันได้อย่างไร เพราะพวกมันหนีหมดจนคดีขาดอายุความ ทำอะไรไม่ได้ นายก็โกรธผม จะเล่นงานผม สั่งตั้งกรรมการสอบสวนผมที่จับผู้ต้องหาไม่ได้ เขาสอบสวน ผมก็ยอมรับว่า จับไม่ได้ ถ้าเผื่อเป็นความผิดผม ผมยอมรับ แต่ผมทิ้งท้ายท้าทายว่า ถ้าสอบสวนผมเสร็จแล้วขอให้สอบสวนคนอื่นด้วยที่จับไม่ได้เหมือนผม อธิบดีกรมตำรวจก็ต้องโดน ถ้าจะไล่กันจริง ๆ ก็โดนกันทั้งกรม ผู้ที่มีหน้าที่จับกุมทั้งหมด เขาส่งเรื่องไปกองคดี ตำรวจที่นั่นโยนสำนวนบอกตั้งมาได้อย่างไรแล้วสั่งระงับ ผู้กำกับโกรธมากพยายามจะเล่นงานผมให้ได้ ทำให้ผมต้องตัดสินใจขอย้ายหนี” นายตำรวจวัยเกษียณสีหน้าจริงจัง

เที่ยวนี้รับบทตำรวจภูธรยาวยันเกษียณอายุราชการ เมื่อลงเป็นสารวัตรแผนกข่าว กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แล้วย้ายไปโรงพักภูธรวัดเพลง จังหวัดราชบุรี ขยับขึ้นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรสาคร เป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ขึ้นเป็นผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี คืนถิ่นเก่าเป็นผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอกระทุ่มแบน และย้ายเป็นผู้กำกับการอำนวยการ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรีปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2545

เขาว่าถึงนโยบายการทำงานแบบเรียบง่าย เน้นการป้องกัน เพื่อไม่ให้มีคดีเกิด แต่นายบางคนกลับหาว่า ฟลุก ทั้งที่เราทำงานกันแทบตาย ทำจนวันสุดท้ายก่อนปลดเกษียณที่จังหวัดกาญจนบุรี ไปลาผู้การบอกว่า ถ้าเราทำอะไรผิดพลาด ลบหลู่ล่วงเกินขออภัยให้ด้วย ผู้การก็บอกไม่มี สบายใจได้

“ผมปลดเกษียน รุ่งเช้าวันที่ 1 ตุลาฯ ตื่นขึ้นมารู้สึกสบาย พ้นทุกข์แล้ว คุกก็ไม่ติด ผมไม่ใช่คนเที่ยว เลี้ยงแต่ลูกน้อง ไม่เคยยึดติดกับตำแหน่ง ไม่ยึดติดกับอำนาจ ธรรมดา ๆ เดินไปไหนไม่รู้ว่า เป็นตำรวจ ถ้าคนไม่รู้จักไม่มีทางรู้ มีแต่ช่วยคน ก่อนย้ายจากกระทุ่มแบน ไปเป็นสารวัตรใหญ่เมือง มาลาพรรคพวกที่หน้าบ้านติดกับโรงพักจู่ ๆ มีคนมากราบที่พื้น ผมตกใจ ถามว่า คุณมากราบผมเรื่องอะไร เขาบอกว่า สารวัตรใหญ่เคยช่วยผม ถึงนึกได้ว่า เป็นคดีขโมยขึ้นบ้าน เขายิงโจรตาย เราสืบว่าเป็นเรื่องจริงก็ช่วยทำสำนวนสั่งไม่ฟ้อง ไม่เคยเรียกเงินเรียกทองเขา”

          สำหรับประสบการณ์ในชีวิตเครื่องแบบที่ผ่านมา พ.ต.อ.นิวัฒน์มองด้วยว่า เห็นปัจจุบันแล้วน่าเศร้า ตำรวจเดินตามนักการเมือง เลียแข้งเลียขาจนได้ดิบได้ดี น่าอนาถ ศักดิ์ศรีไม่มี ชาวบ้านก่นด่า วัฒนธรรมตำรวจกลายเป็นว่า เด็กต้องเรียกนาย ไม่เหมือนทหารที่นายต้องเลี้ยงเด็ก คิดเอาเองก็แล้วกัน เป็นวัฒนธรรมที่มันผิด ต้องยึดตามพระบรมราโชวาทของรัชกาลที่ 5 ที่ว่า การจับผู้ร้ายนั้นไม่ถือเป็นความชอบ เป็นแต่นับว่า ผู้นั้นได้กระทำการครบถ้วนแก่หน้าที่เท่านั้น แต่จะถือเป็นความชอบต่อเมื่อได้ปกครองป้องกันเหตุร้ายให้ชีวิตและทรัพย์สินสมบัติของแผ่นดินในท้องที่นั้นอยู่เย็นเป็นสุขพอสมควร

  “ผมว่า ทุกวันนี้องค์กรตำรวจทำตัวเอง เล่นกับนักการเมืองมากเกินไป สมัยผมทำงานให้การเมืองฟากรัฐบาลก็จริง แต่ไม่ได้วิ่งเต้น ก่อนถูกย้ายเพราะมีนักการเมืองมาหาแล้วผมหลบ พอเขาได้ตำแหน่งก็โกรธ เปลี่ยนขั้วรัฐบาลพอดีผมเลยถูกย้าย แต่ไม่เสียใจ ผมอยู่ที่ไหน ผมก็อยู่ได้  ทำงานเต็มที่ ไม่เคยไปรบกวน หรือข่มเหงรังแกคน”

อดีตผู้กำกับการอำนวยการภูธรจังหวัดกาญจนบุรีเล่าอีกว่า บางทีนายดีก็มี ตอนขอจากสามชุกจะไปอยู่โพธาราม นายบอกว่าไกลบ้านอย่าไปเลยและให้มาอยู่กระทุ่มแบน เราไม่เคยไปประจบสอพลอ แต่ผู้ใหญ่รู้ในการทำงาน ไม่เคยใช้เงินซื้อตำแหน่ง ไม่เคยเอาเงินแลก ยอมรับว่า ครั้งหนึ่งเคยวิ่งไปหานักการเมืองคน เจอเลขานุการส่วนตัวแสบมาก บอกว่า ถ้าขอขึ้นผู้กำกับการต้องมีซองมาด้วย เราก็ไม่เอาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ต้องไปดิ้นรนหา ไปรีดไถเขา เราทำไม่เป็นอยู่แล้ว ไม่ได้ก็ไม่ได้

       “เดี๋ยวนี้เป็นนายพลกันเร็ว สมัยผมต้องเป็นผู้หมวด เป็นรองสารวัตร เป็นรองผู้กอง เป็นผู้กอง ขึ้นสารวัตร สารวัตรใหญ่ถึงเป็นรองผู้กำกับกว่าจะขึ้นผู้กำกับได้ เดี่ยวนี้แค่รองสารวัตร สารวัตร รองผู้กำกับ ผู้กำกับเป็นรองผู้การแล้วเป็นนายพลเลย ถึงอย่างไรก็ตาม ผมภูมิใจ ผมไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เคยบอกแฟนด้วยว่า เราสามารถไปเดินตลาดเชิดหน้าได้ ไม่ต้องก้มหน้าดูดินอายใคร ไม่มีใครจงเกลียดจงชั่ง ไม่มีใครถ่มถุยเหมือนนายตำรวจบางคน”

นับเป็นความภาคภูมิของนายพันตำรวจเอกนักรบรุ่นลายคราม

นิวัฒน์ มารวิชัย !!!

 

 

RELATED ARTICLES