“เรื่องการจับคนร้าย มันเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เรื่องความเก่งกาจอะไรหรอก”

ายกเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่วันนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว

พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เส้นทางชีวิตราชการคลุกคลีวนเวียนอยู่ชายทะเลภาคตะวันออก ถือเป็นนายพลมากคุณภาพและประสบการณ์ที่ลูกน้องรู้กิตติศัพท์อย่างดี ไม่มีประวัติด่างพร้อย

เขาเป็นชาวสมุทรสาคร แต่ไปเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม ก่อนตามพี่ชายที่เป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยบูรพา เข้าเรียนต่อมัธยมปลายโรงเรียนชลราษฎรอำรุง ก่อนไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 28 มีเพื่อนร่วมรุ่นล้วนเป็นตำนานในยุทธจักรสีกากีหลายคน อาทิ พล.ต.อ.วิเชียรพจน์ โพธิ์ศรี พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหา ณ อยุธยา พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม

“ชีวิตจริง ๆ ผมไม่เคยคิดมาเป็นตำรวจเลย” เจ้าตัวสารภาพ “ตอนนั้นจริงๆ อยากจะเป็นหมอ สุดท้ายชีวิตก็ผกผัน พอจบมัธยมออกมาปุ๊บ พอดีโรงเรียนนายร้อยตำรวจเปิดรับสมัครสอบ คุณพ่อเป็นเกษตรกรตามประสาคนบ้านนอก เห็นว่า ถ้าลูกเป็นทหาร ตำรวจน่าจะเข้มแข็งดีเลยอบกให้ไปลองสอบดู ถึงได้เข้าเป็นตำรวจ”

นักเรียนนายร้อยตำรวจที่เรียนจบพ้นจากรั้วสามพรานรุ่น28 ทั้งหมด กรมตำรวจมีโครงการให้กระจายลองเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ กองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้ และกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลธนบุรี ที่ถือเป็นสุดยอดหน่วยนักสืบเมืองหลวงของวงการสีกากี

หมวดอนันต์กับเพื่อนอีกกลุ่มถูกจับลงเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้ แต่แล้วก็เกิดโศกนาฏกรรมที่สุดสลดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในยุทธจักรนักสืบ เมื่อเพื่อนของเขา 2 คนต้องมาจบชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะความเข้าใจผิดของตำรวจด้วยกันเอง เป็นเรื่องราวที่เขาและเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจร่วมรุ่นไม่เคยลืม

เป็นจุดผิดพลาดของผู้บังคับบัญชาในอดีตที่เกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย คือ เวลา สถานที่ และสถานการณ์ กลายเป็นความสูญเสีย 2 นายตำรวจหนุ่มที่กำลังมีอนาคต  หลังจากมีผู้เสียหายถูกคนร้ายโทรศัพท์มากรรโชกทรัพย์เงินค่าคุ้มครองแค่ 3 หมื่นบาท ปรากฏว่า พ่อไปแจ้งความตำรวจพลับพลาไชยเขต 1 มีน้องชายกลัวไม่ได้รับความสนใจจากตำรวจท้องที่เลยไปแจ้งกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้

วันนั้นเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ร.ต.ต.วีระ ช่างประดิษฐ์ และร.ต.ต.ศิริชัย มุ่งถิ่น ถูกตามตัวมาทำงานเข้าพื้นที่โดยไม่ได้มีการประสานตำรวจท้องที่ ส่วนตำรวจท้องที่ก็ไม่ทันรู้ว่า ตำรวจกองสืบสวนจะเข้ามาทำคดี มีกำหนดจุดให้ผู้เสียหายนำเงินค่าคุ้มครองไปวาง กำลังนอกเครื่องแบบทั้งสองหน่วยต่างกระจายซุ่มสังเกตการณ์ รอจนทุ่มกว่าคนร้ายไม่มาตามนัด หัวหน้าสายสืบโรงพักพลับพลาไชยตัดสินใจถอนตัวมาหยิบถุงเงิน คู่ร้อยตำรวจตรีหนุ่มจบใหม่สังกัดสืบสวนใต้เข้าใจว่าเป็นคนร้ายจึงชักปืนโผล่แสดงตัว ฝ่ายสายสืบโรงพักเข้าใจเป็นโจรจะมาชิงเงินหัวหน้าสายสืบเลยเปิดฉากลั่นกระสุนใส่ เป็นเหตุสุดวิสัยให้ตำรวจยิงกันเอง ส่งผลให้ ร.ต.ต.วีระ และร.ต.ต.ศิริชัย เสียชีวิตทั้งคู่

พล.ต.ต.อนันต์เล่าว่า  อยู่ในทีมงานเพื่อนทั้ง 2 คน แต่ตอนนั้นไปช่วยราชการอยู่โรงพักบางรัก ถ้าไม่อย่างนั้นคงต้องไปงานนี้ด้วย และอาจตายไปแล้วก็ได้ พวกเพื่อนและผมเพิ่งจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาใหม่ ๆ แค่ 2-3 เดือนเอง ถูกยิงตายทั้งคู่ หลังเกิดเหตุสลด กรมตำรวจจึงมีคำสั่งย้ายนายตำรวจจบใหม่ในรุ่น 28 ทั้งหมดออกจากกองกำกับการสืบสวนนครบาลไปลงโรงพักแทน

เขาย้ายเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจพลับพลาไชยเขต 1 อยู่ได้ 2 ปี มีการสับเปลี่ยนกำลังต้องขยับไปอยู่ตำรวจตระเวนชายแดนที่กองกำกับการสนับสนุนทางอาการ ค่ายนเรศวร อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นาน 3 ปี กลับมาเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่ปี 2523 ยาวจนเลื่อนขึ้นสารวัตรสืบสวนเมืองชลบุรี ทำงานเข้าตาข้ามไปเป็นรองผู้กำกับการสังกัดกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ไม่ต้องเป็นสารวัตรใหญ่

อยู่ 2 ปีรู้สึกไม่ใช่งานถนัดเลยกลับถิ่นเก่าเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ขึ้นเป็นผู้กำกับการสืบสวนภูธรภาค 2 คนแรก ตามที่มีการแบ่งโครงสร้างใหม่ของกรมตำรวจ หลังจากนั้นก็ไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เป็นรองผู้บังคับการหัวหน้าตำรวจจังหวัดปราจีนบุรี อาวุโสไม่พอขึ้นผู้บังคับการต้องขยับมาเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี กระทั่งเป็นนายพลตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาครละแวกบ้านเกิดเพียงปีเศษกลับไปนั่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีถิ่นคุ้นเคยนานถึง 4 ปี ขึ้นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จนเกษียณอายุราชการ

ตลอดเส้นทางชีวิตราชการ พล.ต.ต.อนันต์บอกว่า จะวนเวียนในพื้นที่ภาคตะวันออกเขตภูธรภาค 2 เป็นส่วนใหญ่ราว 80 เปอร์เซ็นต์ ผ่านคดีสำคัญมากมาย ยิ่งตอนเป็นสารวัตรสืบสวนเมืองชลบุรี ไปทำคดียิงถล่มฆ่า นายพิพัฒน์ โรจน์วณิชชากร หรือเสี่ยฮวด ที่ถูกทีมสังหารชุดใหญ่ยิงถล่มดับขณะเดินทางไปร่วมงานวันเช็งเม้งของตระกูลเตชะไพบูลย์เมื่อปี 2532 เป็นข่าวใหญ่ครึกโครม  กรมตำรวจยังต้องส่งท่านชลอ เกิดเทศ มือปราบคนดังยุคนั้นมาร่วมสะสาง

“ถามว่า ชลบุรี มีอิทธิพลหรือไม่ ผมว่า มันก็เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมานะ เพราะผมก็อยู่มานานตั้งแต่สมัยเสี่ยจิว หรือนายจุมพล สุขภารังษี มาจนถึงเสี่ยฮวด อะไรประมาณนั้น ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตหมดแล้ว หลังจากนั้นชลบุรีก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย อาจเพราะผมอยู่ที่นั่นมานาน ก็เลยเคยชิน ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ มีคดีอะไร หรือใครทำผิด ผมก็ดำเนินคดีตามกฎหมาย ใครถูก เราก็ดูแลเขา ไม่เคยมีความรู้สึกว่า ใครทำผิดแล้วมีอิทธิพล แล้วเราต้องกลัว ไม่กล้าทำอะไร ไม่มี ผมยึดหลักความถูกต้องเป็นเรื่องปกติ เพราะการทำงาน ถ้าเราไม่ยึดหลักความถูกต้อง และยึดกฎหมาย มันก็ทำงานไม่ได้ ไปไม่ได้” ตำนานนายพลภูธรภาคตะวันออกถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต

ส่วนคดีที่ประทับใจ เจ้าตัวว่า มีหลายคดีมาก เหมือนอย่างเช่น คดีสังหารเสี่ยฮวด ได้ร่วมทำคดีกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราเป็นแค่สารวัตรสืบสวนตามหาตัวคนร้าย ก่อนจับ ไชยยันต์ วิชัยดิษฐ ตำรวจด้วยกันเอง ตอนนั้นยอมรับว่า รู้สึกปวดร้าว แต่ก็ต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่ นอกจากนี้ ยังสืบสวนจับกุมยาเสพติดได้ของกลางเป็นเฮโรอีน 2-3 กิโลกรัม สมัยนั้นถือว่า เยอะมาก ราคาท้องตลาดตกกิโลกรัมละแสนหก ต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้ายาเสพติดไปติดต่อล่อซื้อตั้งแต่เช้า นัดหมายส่งยาเสพติดกันที่หน้ากรมทหารราบที่ 21 แต่คนร้ายเปลี่ยนใจไม่มาส่ง

นักสืบภูธรเก่าชายทะเลภาคตะวันออกเล่าต่อว่า คนร้ายเปลี่ยนใหม่มานัดหมายกันไปส่งที่โรงแรมไดมอนด์ ริมถนนสุขุมวิท แต่ก็ไม่ยอมมาอีก สุดท้ายย้ายเวลามาตอนประมาณ 1 ทุ่ม ย้ายสถานีที่เป็นหน้าร้านอาหารหน้าโรงพยาบาลชลบุรีในปัจจุบัน คนติดต่อเป็นผู้หญิง 2 คนมานั่งคอยในร้าน เราเข้าไปคุยแล้วให้ตำรวจที่ปลอมตัวอีกคนดูของในรถ พอทางนั้นให้สัญญาณว่า มีขอเรียบร้อยเราก็แสดงตัวล็อกผู้หญิงในร้านทันที

“ ระหว่างนั้น ดันมีทหารเรือสัตหีบนั่งกินข้าวอยู่อีกโต๊ะ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอผู้หญิงร้องโวยวายหาว่า ผมจะฉุดไปปล้ำ ทหารก็จะเข้ามาช่วยแถมควักปืนออกมา คนเต็มร้านไปหมด ผมต้องตะโกนบอกไปว่า ตำรวจทำงานอยู่ วันนั้นถ้าปืนลั่นออกมาสักนัด คงยุ่ง ก่อนจับได้พร้อมเฮโรอีนของกลางที่ถือว่า เยอะมากตอนนั้น มีส่วนทำให้ผมย้ายจากสารวัตรสืบสวนเมืองภูธรไปขึ้นรองผู้กำกับหน่วยตำรวจปราบปรามยาเสพติด แต่ผมชอบงานภูธรมากกว่า เพราะได้ทำงานกับประชาชนจริง ๆ ไม่ใช่งานเฉพาะด้านอย่างตำรวจปราบปรามยาเสพติด” พล.ต.ต.อนันต์ละเมียดความหลังว่า

  “จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากไปพูดถึงคดีมากมายหรอก ผมไม่อยากจะไปเท้าความเรื่องคดีเท่าไหร่ เพราะเรื่องการจับคนร้าย มันเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เรื่องความเก่งกาจอะไรหรอก ต้องเรียนตรงๆ นะ แต่ละคนบางทีเอาเรื่องการจับคนร้ายมาเป็นประเด็นสำคัญ มันไม่ใช่ งานตำรวจมีหลายด้าน การจับคนร้ายมันเป็นหน้าที่ จับไม่ได้ หรือไม่จับสิ ถือว่าผิด การจับได้เป็นหน้าที่ แต่เรื่องความภาคภูมิใจก็อาจเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ผมจะเป็นคนไม่ค่อยอะไรมาก จะโลว์โปรไฟล์ด้วยซ้ำ”

ถึงกระนั้นก็ตาม ประสบการณ์การทำงานสมัยรับราชการตำรวจทั้งหมด พล.ต.ต.อนันต์บอกว่า  ได้มีส่วนเอามาใช้ทำงานที่เมืองพัทยาไม่น้อย ถามว่า ทำไมถูกทาบทามมาอยู่ที่เมืองพัทยา ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เรียนตรง ๆ ว่า ก่อนจะมาเป็นนายกเมืองพัทยา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีคนก่อนโทรศัพท์มาหา ขอให้มาเป็นสมาชิกเมืองพัทยา เราปฏิเสธท่านไป 2 ครั้ง ท่านผู้ว่าฯ ให้เหตุผลว่า เป็นช่วงภาวะที่เปลี่ยนผ่าน เนื่องจากสมาชิกเมืองพัทยา และผู้บริหารชุดเก่าหมดวาระเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 จำเป็นต้องมีผู้บริหารเมืองเป็นการเฉพาะกิจขึ้นมา

อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีมองว่า ที่ท่านผู้ว่าติดต่อทาบทามให้มาร่วมงานการเมืองท้องถิ่นเมืองพัทยาคงด้วยความที่เราเป็นตำรวจเก่าที่นี่ และท่านก็ให้เหตุผลชัดเจนว่า ในส่วนตำรวจ ท่านมองไม่เห็นใคร นอกจากเราจะคุ้นเคยพื้นที่ สุดท้ายก็ต้องยอมรับปากที่ท่านทาบทาม อยู่สัก 3-4 เดือน มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา 44 ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้เป็นนายกเมืองพัทยา

“ผมไม่เคยคิดเล่นการเมืองเลยในหัวสมอง และเมื่อผมทำหน้าที่ตรงนี้เสร็จ ผมก็จะกลับบ้าน ไม่ยุ่งอะไรทั้งสิ้น ด้วยความสัตย์จริง ไม่ต้องห่วง แต่วาระก็คงต้องอยู่จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ย้ำว่า เรื่องแนวความคิดการเมืองไม่อยู่ในหัวสมองของผม เพราะผมเป็นข้าราชการประจำ แล้วก็มีความภาคภูมิใจในตำแหน่งของข้าราชการประจำ เกษียณอายุแล้วก็จบกัน แต่การมาทำงานตรงนี้ถือว่า เป็นเรื่องเฉพาะกิจจริงๆ”

นายกเมืองพัทยาวางนโยบายการทำงานตอนมารับตำแหน่งว่า พยายามทำ และแก้ปัญหาต่างๆ ให้มันดี แก้ปัญหาในสิ่งที่ควรจะต้องทำ ปัญหาพื้นฐาน ปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด ปัญหาต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในเมืองพัทยา ส่วนปัญหาในเมืองพัทยาที่คิดว่าหนักที่สุดในความคิดของเรา คือปัญหาเรื่องน้ำท่วม และขยะล้นเมือง ขณะที่ปัญหาอื่นไม่เคยคิดว่าหนัก เพราะเรารู้ว่า มันคืออะไร เราเอาอยู่ ปัญหาพวกนี้จะมีไม่ได้ ถ้าข้าราชการของรัฐ เข้มแข็ง เช่น โจรผู้ร้ายที่มาอาละวาด ทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง ตราบใดข้าราชการของรัฐเข้มแข็งแล้วก็ทำอะไรไม่ได้แน่นอน

พล.ต.ต.อนันต์มองว่า ด้วยที่เราเป็นตำรวจเก่า สมัยรับราชการได้ติดต่อประสานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ รุ่นพี่รุ่นน้องมีเยอะแยะไปหมด ทำให้เราทำงานได้ง่าย สะดวกขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของฝ่ายปกครองเขาก็ให้ความร่วมมือกับเราอย่างเต็มที่ เพราะเหตุผลที่เรามาตรงนี้ได้บอกกับสื่อมวลชน ประชาชน และสภามาตลอดว่า เนื่องจากรัฐบาลได้มอบให้มาตรงนี้ ก็มาทำให้เต็มที่ “ผมมาทำให้ ไม่ได้ทำเอา แล้วก็จะทำอย่างซื่อสัตย์สุจริต ผมพูดอย่างนี้ตลอด ล่าสุดก็ได้พูดกับข้าราชการเมืองและพยายามบอกพวกเขาว่า ทำงานให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ทำงานด้วยความตรงไปตรงมา เหมือนที่ผมใช้หลักการกับตำรวจทุกคน คือ ผมโชคดีที่ว่า ได้เคยเป็นผู้การจังหวัด ได้ปกครองตำรวจ เคยเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ปกครองตำรวจเป็นพันเป็นหมื่นคน ตำรวจปกครองยากกว่านี้อีก เรายังสามารถที่จะทำงานได้”

     นายพลภูธรวัยเกษียณอยากจะฝากตำรวจรุ่นน้องด้วยว่า งานของตำรวจ คือ งานที่จะต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชน การดูแลทุกข์สุขประชาชน ต้องทำงานเต็มที่ ให้คำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก อย่าคิดถึงประโยชน์ส่วนตัว ต้องคิดประโยชน์ส่วนรวม และไม่ต้องทำให้ประชาชนเดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว เพราะประชาชนฝากความหวังกับตำรวจมาก ต้องเรียนตรงๆ ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ประชาชนจะเห็นตำรวจคนแรกที่ต้องได้รับผลจากคนดี หรือคนร้าย

พล.ต.ต.อนันต์ย้ำว่า ถ้าตำรวจเป็นที่พึงของเขาไม่ได้ จะทำให้ระบบสังคมแย่ สังคมก็ไม่ดี วุ่นวาย ถ้าตำรวจเป็นที่พึ่งของเขาได้ก็จะทำให้ภาพพจน์ของตำรวจดีขึ้น รัฐบาล หรือประเทศชาติก็จะไปได้ ต้องอย่าลืมว่าตำรวจเรามีทั้งกฎหมาย มีทั้งปืน มีอาวุธอยู่ในมือ เคยมีสมัยท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เคยถามลูกน้องว่า ใครใหญ่กว่านายกรัฐมนตรี มีคนใกล้ชิดบอกว่า คนที่ใหญ่กว่าก็คือตำรวจ เพราะตำรวจจับนายกรัฐมนตรีได้ ท่านเลยมาเป็นรักษาการอธิบดีกรมตำรวจ

“คำว่า ใหญ่ ไม่ได้ เพราะใหญ่กว่าประชาชน เพราะตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย ใครทำผิดก็ต้องดำเนินคดี ใครทำถูกก็ต้องดูแลเท่านั้นเอง ถามว่า ตำรวจมีความสำคัญกับประชาชนหรือไม่ บอกได้เลยว่าสำคัญอย่างยิ่ง สำคัญจริงๆ แต่เมื่อถามอีกว่า ประชาชนจะรักตำรวจทุกคนไหม ไม่มีหรอก เพราะประชาชนเกลียดตำรวจมากกว่ารักตำรวจเยอะ เนื่องจากผลกระทบที่จะเกิดจากตำรวจมีมากมาย ใครที่ถูกจับ แม้กระทั่งถูกจับรถรานิดหน่อยก็ไม่ชอบตำรวจแล้ว  มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ตัวตำรวจเอง ต้องเข้าใจธรรมชาติตรงนี้ ตำรวจเองจะต้องไม่มีความรู้สึกเกลียดประชาชน ต้องรักประชาชนถึงจะทำงานได้ผล” เจ้าตัวทิ้งแง่คิด

อนันต์ เจริญชาศรี !!!

RELATED ARTICLES