อีกบทพิสูจน์กระบวนการบน “ตาชั่ง” เมืองไทย
นักฆ่ามือพระกาฬหนีประกันลอยนวล มีหมายจับออกตามล่า แต่ยังกล้าวนเวียนกลับมาก่อเหตุอุกอาจอำมหิตอีกครั้ง
แถมเป็นถิ่นเก่าเขตอิทธิพลตัวเองในอดีตเย้ยผู้รักษากฎหมาย
หลังเหตุการณ์คนร้ายบุกยิง นายประชา วรทัด อายุ 52 ปี และ นางปาริดา วรทัด อายุ 50 ปี เจ้าของปั๊มน้ำมันในจังหวัดสระแก้ว
ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันมือปืนเหี้ยวรายนี้คือ นายพันธ์ศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีต “พันตำรวจโท” ใจเหี้ยมคนดังที่ตกเป็นจำเลยอุ้มฆ่าแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
อดีตสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรี ประวัติโหดและโชกโชนเป็นที่รู้กิตติศัพท์ในพื้นที่ภูธรภาค 2 ชายแดนประเทศเพื่อนบ้านฝั่งภาคตะวันออก ก่อนมารับงานที่กลายเป็นคดีฆาตกรรมอำพรางอันโด่งดังระดับประเทศเมื่อปี 2537
ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่จองจำหมดอิสรภาพอยู่หลังกำแพงคุกเพียงแค่ 18 ปี ออกมาใช้ชีวิตรับเหมาก่อสร้างในถิ่นถนัดจังหวัดปราจีนบุรีคาบเกี่ยวจังหวัดสระแก้ว
ปีเดียวตั้งแก๊งอุ้มเสี่ยอ้วน-นายชัยชนะ หมายงาน นักธุรกิจในตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ไปฆ่าแล้วนำศพเผานั่งยางป่ายูคาลิปตัส บ้านคลองมะเดื่อ หมู่ที่ 8 ตำยท่าช้าง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ขณะนั้นนำกำลังรวบตัวพร้อมสมุนกระชากหน้ากากอดีตนายตำรวจนักฆ่ามือพระกาฬที่กลับคืนสู่วงการทมิฬเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง
หลายคนคิดว่า เขาจะต้องไปชดใช้ชะตากรรมครั้งสุดท้ายในผลงานอำมหิตที่ก่อขึ้นอย่างไม่หวาดหวั่นกฎหมายบ้านเมือง
ปี 2558 ศาลจังหวัดสระแก้วตัดสินโทษประหารชีวิต
ทว่า “พันธ์ศักดิ์ มงคลศิลป์” นกรู้ไม่ยอมไปฟังคำพิพากษา ตัดสินใจหนีประกันในชั้นศาล มีแค่หมายจับคาไว้ให้ดูต่างหน้า
ส่วนจะไล่ล่าตามมาดำเนินคดีอยู่ที่กำลังความสามารถของตำรวจจะจริงจังแค่ไหน
ทำให้อดีตนายตำรวจนักฆ่ารุ่นใหญ่หลงลำพอง รับจ้างสังหาร นายประชา วรทัด อายุ 52 ปี เสี่ยเจ้าของปั๊มน้ำมันในจังหวัดสระแก้ว
ตลอด 3 ปีที่มีหมายจับหนีประกันชั้นศาล เป็นเครื่องยืนยันความจริงให้เห็นถึงการทำงานของผู้รักษากฎหมาย
ปล่อยเสือร้ายลอยนวลเข้าป่า
ออกมาอะลาวาดรับงานฆ่าสุจริตชนอีกจนได้