“แต่ชีวิตมันเหมือนเลี่ยงไม่ได้ บางทีเป็นเหมือนฟ้าลิขิต”
พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ลูกชายนายดาบตำรวจม้าคิดแบบนั้นมาตลอด
เส้นทางรับราชการกว่าจะมาเป็น“เก้าอี้แม่ทัพเมืองหลวง” ถึงราวกับถูกขีดไว้หมดแล้ว ตั้งแต่วันแรกหลังจากสอบผ่านข้อเขียนโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ต้องเจอปัญหาด่านตรวจโรค เพราะ “ฟันผุ”
ขอร้องโรงพยาบาลไหน ขอร้องสถานพยาบาลไหนก็ไม่ทำให้
กระทั่งไปที่ศูนย์อนามัยบ่อนไก่ หน้าแฟลตที่พักยอมอุดให้ชั่วคราว เนื่องจากวันรุ่งขึ้นต้องสัมภาษณ์และตรวจโรคแล้ว
สุดท้ายผ่านไปได้ เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 20 ไม่วายเกเร เรียนเกือบไม่รอด เพราะเวลาเรียนไม่พอ เหลืออีกประมาณครึ่งวันจะหมดสิทธิ์สอบ เมื่อชอบไปขลุกอยู่บ้านเพื่อนสนิท
ทั้งที่แฟลตที่พักอยู่บ่อนไก่ห่างจากโรงเรียนเตรียมทหารเพียงนิดเดียว
ผ่านชีวิตนักเรียนเตรียมทหารมาแบบทุลักทุเลบนความเกเรตามประสาวัยรุ่น เลือกเข้าเหล่านักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 สมความตั้งใจของผู้บังเกิดเกล้าโดย เหมือนมีดวงชะตาพาไปอีกเช่นกัน
เขาเลือกตำรวจอันดับแรก อันดับสอง ทหารเรือ อันดับสาม ทหารบก ทหารอากาศท้ายสุด สมัยนั้นต้องเรียนเก่งถึงจะเป็นตำรวจตามที่เลือกอันดับแรกได้
บังเอิญมีการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ คนได้คะแนน 1-2-3-4 จะจัดลำดับเข้าเป็นกรุ๊ป แบ่งเป็นเซ็ต เขาไปอยู่กรุ๊ปที่ตัวเองได้คะแนนดีของกรุ๊ปถึงเลือกตำรวจได้พอดี หากปกติจะตัดเอาจากคะแนนอันดับ 1 เรียงลำดับที่เลือกไว้ 120 คน ใครได้ที่เท่าไรเลือกก่อน
ตัดแบบเก่า “สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น” คงไม่ได้เป็นตำรวจ
พอเข้าสามพรานปีแรกถูก “กาหัว” ตั้งแต่แยกเหล่า เนื่องจากมีบัญชีชื่อฝากให้นายตำรวจปกครองโรงเรียนนายร้อยระบุเลยไว้
กลุ่มนี้อย่าให้มันอยู่รวมกันต้องจับแยกกันไปอยู่คนละตอน
กระนั้นก็ตามถูกหักคะแนนความประพฤติเมื่ออยู่ปี 4 หลังจากแอบหนีโรงเรียนตอนกลางคืน แม้วางแผนทำเรื่องลาไว้แล้วในเช้าวันรุ่งขึ้น นายตำรวจปกครองเห็นก็เรียกเช็กแถวใหม่ ตอนแรกจับไม่ได้ แค่เขียนรายงานชี้แจง
ทำไปทำมาถูกตัดแต้ม 10 คะแนน
ส่งผลให้เทอมสุดท้ายในชีวิตนายร้อยตำรวจ เขามีคะแนนถอยร่นจากเพื่อนไปอีก 50-60 คน โอกาสเลือกลงบรรจุ “โรงพักเกรดเอ” หายวับ ไม่รู้จะเลือกไปไหน คิดในใจจ้องไว้เมืองระนองคงไม่มีใครเลือก
ถึงเวลาจริงกลับมีรุ่นพี่ที่ตกซ้ำชั้นมานั่งติดกันกระซิบถาม ด้วยความพาซื่อบอกไปจะเลือกเมืองระนอง กลับกลายเป็นรุ่นคนนั้นชิงตัดหน้าไปเลือกลงแทน
เขาจำใจต้องเปลี่ยนเส้นทางมาเริ่มต้นชีวิต “ร้อยตำรวจตรี” เป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น
ไม่นานก็มีเรื่องทะเลาะ “ทุบโต๊ะ” ปะทะคารมกับสารวัตรใหญ่
บาดหมางบานปลายกันในเวลาต่อมา